ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
พฤศจิกายน 30, 2024, 03:51:30 PM
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: ประกาศ การกระทำใดๆ  เพื่อที่จะให้กระทู้ตัวเองมาอยู่อันดับต้นๆ ประจำ หากพิจารณาแล้วว่า ไม่เกิดประโยชน์กับผู้เข้าชม  ก็รับสิทธิ์โดนแบนเหมือนกันครับ


จองที่พักราคาถูกทั่วประเทศโทร 053266550-2  |  เชียงใหม่ - ข้อมูลเกี่ยวกับเชียงใหม่ - ที่พัก โรงแรม การเดินทาง วัดจังหวัดเชียงใหม่ ร้านอาหาร สถานที่เที่ยวกลางวัน กลางคืน ฯลฯ  |  วัดในจังหวัดเชียงใหม่  |  หัวข้อ: ตามรอยพระพุทธบาทที่ วัดพระพุทธบาทแก้วข้าว 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้ « หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ลงล่าง พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ตามรอยพระพุทธบาทที่ วัดพระพุทธบาทแก้วข้าว  (อ่าน 2975 ครั้ง)
konhuleg.
Jr. Member
**
กระทู้: 90


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: ตุลาคม 07, 2015, 09:45:55 AM »


ตอนที่1

ถ้าจำไม่ผิด พบว่าตัวเองเคยไปเที่ยววัดที่มีพระพุทธบาทในจังหวัดเชียงใหม่มาแล้วหลายที่ด้วยกันและถ้าหากมีการนับนิ้วไล่ดู ก็คงพอจะมีกันประมาณนี้


วัดพระพุทธบาทคู่ยั้งหวีด วัดพระพุทธบาทสี่รอย พระพุทธบาทน้ำตกผาลาด และล่าสุดที่เพิ่งไปมาก็คือ วัดพระพุทธบาทแก้วข้าว ใน อ.ฮอด


วัดพระพุทธบาทแก้วข้าว ตั้งอยู่ บ.แควมะกอก ม.1 ต.ฮอด อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ การเดินทางมายังวัดด้วยรถส่วนตัว ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108 (เชียงใหม่-ฮอด) ขับผ่านแยกหอนาฬิกาอำเภอฮอด ผ่านสถานีตำรวจภูธรฮอด และขับรถตรงไปทางถนนสายอารยธรรมทางหลวงหมายเลข 1012 (ฮอด-บ.วังลุง) ผ่านสามแยกไปอำเภอดอยเต่า ผ่านโรงพยาบาลฮอด และขับรถตรงไปเรื่อยๆ โดยจากสามแยกไปอำเภอดอยเต่าถึงวัดพระพุทธบาทแก้วข้าวประมาณ 7กิโลเมตร ด้วยกัน (สังเกตก่อนถึงวัด จะสังเกตเห็นพระธาตุดอยจ๊อมโดดเด่นมาแต่ไกล และก่อนถึงวัดจะมีป้ายบอกทางเข้าฝั่งขวามือชัดเจน)ส่วนรถโดยสารเท่าที่ทราบ จะมีรถเมล์เชียงใหม่ –ดอยเต่า วิ่งผ่าน (คันสีฟ้า) แต่น่าจะวิ่งถึงแค่สามแยกกันครับ ที่เหลือคงจะหาเหมารถจากตัว อ.ฮอด กันมาเอง


จากปากทางเข้า ขับรถเข้ามา 5 นาที ก็เป็นอันว่าถึง สภาพวัดโดยรวมเงียบสงบ และร่มรื่น วัดแห่งนี้เป็นวัดขนาดเล็ก แต่ในความเล็ก แต่ในความเล็กที่ว่านั้น ก็มีสิ่งที่น่าสนใจที่จะเล่าให้ฟังกันดังต่อไปนี้


วัดพระพุทธบาทแก้วข้าว ถูกยกจากวัดร้างขึ้นเป็นวัดที่มีพระภิกษุจำพรรษาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2544 มีสิ่งที่น่าสนใจภายในหลากหลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธบาทแก้วข้าววิหารพระเจ้าทันใจ พระธาตุวัดพระพุทธบาทแก้วข้าว อุโบสถ รวมทั้งศาลาบาตร


มาเริ่มกันที่อย่างแรก เป็นรอยพระพุทธบาทแก้วข้าว ในวิหารวัดพระพุทธบาทแก้วข้าว เป็นรอยพระพุทธบาทเบื้องซ้ายของพระศรีศกายมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ในมหาภัทรกัป ขนาดกว้าง 24 นิ้ว ยาว 64 นิ้ว ปรากฏในตำนานพระเจ้าเลียบโลกกัณฑ์ที่ 9 ตรงที่กล่าวถึงพญานาคควักดวงตาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์พยากรณ์ว่า สถานที่นี้จักได้เป็นเมืองๆ หนึ่ง ชื่อ “มหานคร” สันนิษฐานว่า คือ “เมืองพิสดารนคร” อยู่เขตอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ในปัจจุบัน กว้าง 150 วา ยาว 175วา เป็นกำแพงสองชั้นคูเมืองมีน้ำล้อมรอบ


โดยตำนานและประวัติพระพุทธบาทแก้วข้าวนั้นถือว่ามีความน่าสนใจกันเป็นอย่างยิ่งครับ รวมทั้งค่อนข้างที่จะยาวกันพอสมควร ซึ่งตอนหน้าจะขอมาเล่าถึงในส่วนนี้กันครับ รวมทั้งสิ่งที่นาสนใจที่เหลืออื่นๆ ภายในวัดพระพุทธบาทแก้วข้าวกัน
บันทึกการเข้า
konhuleg.
Jr. Member
**
กระทู้: 90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2015, 09:55:20 AM »


ตอนที่ 2

จากการไปเที่ยววัดที่มีพะพุทธบาทมา พบว่าทุกที่จะมีตำนานเรื่องเล่าขานเอาไว้ให้ศึกษากันครับ ซึ่งที่วัดพระพุทธบาทแก้วข้าว แห่งนี้ ก็มีเช่นเดียวกันดังที่จะเล่ากันดังต่อไปนี้ โดยอ้างอิงจากหนังสือของทางวัด


ในอตีเตกาเลในกาละ วันเดือนปีผ่านไปแล้วก่อนจะได้นับพ.ศ. คือพุทธกาลเมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ตาทั้งหลายก็ได้ไปโปรดพระยาสีสู่ พระยาขุนแสนทอง ยังดอยเกิ้ง แล้วก็ได้เสด็จไปตามลำน้ำปิง พวกชาวบ้านชาวเมืองได้เห็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ตาเป็นบริวาร พวกชาวลัวะชาวว้าไม่เคยพบเห็นพระพุทธเจ้ามาก่อนเพราะใส่ผ้าสีดำย้อมฝาด ก็พากันเกิดศรัทธาเลื่อมใส ได้พากันเอาข้าวห่อไปใส่บาตรเป็นทานแก่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ตาเจ้าทั้งหลาย แล้วพระพุทธเจ้าก็ได้ไขผอูปแก้ว คือปากของพระพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่าให้พากันรักษาศีลทั้ง 5 ข้อ สถานที่แห่งนั้นก็เรียกว่า ดอยอูปแก้ว จนถึงปัจจุบัน


แล้วพวกชาวลัวะทั้งหลายก็ได้ทูลบอกแก่พระพุทธเจ้าว่า การทำไร่นาไม่มีน้ำ ต่อไปบ้านเมืองแห่งนี้จึงมีชื่อว่า เมืองฮอดแห้ง จึงได้ให้พระอรหันต์ไปทำกังหันไม้ไผ่วักน้ำใส่นา ชาวบ้านเรียกว่า วงศ์หลุก จะมีมากในวันข้างหน้า จนเรียกสถานที่นั้นว่า วังหลุกหรือวังลุงปัจจุบัน แล้วบอกกับชาวลัวะทั้งหลายให้รักษาศีล 5 ข้อไว้ ต่อไปจะไม่ได้ทุกข์ลำบาก จะมั่งมีด้วยทรัพย์สมบัติไหลมาเทมา เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ที่ได้ถวายทานข้าวห่อแล้วจะได้เสด็จไปยังดอยกลอมเป็นดอยจอมปัจจุบัน พระพุทธเจ้าหิวน้ำ ก็ได้ให้พระอานนท์เอาบาตรไปตักน้ำยังวังแก้ว แม่ปิง มีพญานาคได้รักษาเฝ้าดูแลยังวังแก้วที่นั้น พญานาคก็ได้กวนน้ำให้ขุ่นไปหมดทั้งวัง พระอานนท์ก็ได้เอาฝาบาตรมาตักน้ำนั้น พญานาคก็ได้เอาหางไปปัดฝาบาตรให้หลุดจากมือพระอานนท์จมลงวัง ให้พระอานนท์ตกใจ พอมีสติพระอานนท์ก็เอามีดไปตัดเอาเครือเขาเถาวัลย์ เอามาสานเป็นตาข่ายเพื่อเวียนหาเอาฝาบาตรนั้น มีดของพระอานนท์ก็หลุดหล่อนออกจากด้าม พระอานนท์ก็เก็บมีดมาสอดใส่ด้าม เอาด้ามมีดตอกกับก้อนหินเป็นรอยลึกเข้าไปในก้อนหินนั้น กว้าง 6 นิ้วฟุต ลึก 6 นิ้วฟุต ได้รักษาไว้อยู่ข้างวิหารด้านใต้แห่งวัดพระพุทธบาทแก้วข้าวถึงทุกวันนี้ อันตาข่ายเครือเขาเครือเถาวัลย์พระอานนท์ก็ได้เอาทิ้งไว้บนฝั่งน้ำปิง มนุษย์ทั้งหลายมาเห็นก็ได้นำไปเรียนแบบในทางหากินเป็นแห จี๊บจ๋ำ จำมอง มาจนถึงทุกวันนี้


อหังพระพุทธเจ้าล่วงรู้ด้วยญาณทิพย์ว่าจะได้ไปโปรดพญานาคยังวังแก้วแม่ปิง ได้เสด็จตามหาพระอานนท์ พระอรหันต์ตาก็ได้ติดตามไปด้วย พระอรหันต์ตาได้พับตีนผ้าสบงให้พระอานนท์เห็นปริศนา พระอานนท์คิดได้ว่าการทำตาข่ายจะต้องมีถุงจึงจะได้ของเข้าไปติดที่ถุงนั้น ฉะนั้นผ้าสบงจีวรของพระภิกษุสงฆ์สามเณรจึงมีรอยพับมาจนถึงทุกวันนี้ อันว่า พระพุทธเจ้าก็ทรงโปรดแก่พญานาค พญานาคก็อ่อนลงหมดแรงดิ้นรน พญานาคยอมแพ้ก็ได้นำน้ำสะอาดบริสุทธิ์มาถวายทานแก่พระพุทธเจ้าและอรหันต์ตาเจ้าทุกรูปทุกองค์ พญานาคได้เกิดศรัทธาเลื่อมใสได้ควักลูกตาทั้งสองถวายทานแก่พระพุทธเจ้าแล้วทูลลาไปยังเมืองบาดาล


ทันใดนั้นก็เกิดปาฏิหาริย์แก่นตาทิพย์เกิดแสงสว่างแจ้งเป็นแสนเท่าแก่พญานาค ได้ยกเอาก้อนหินแสงข้าว ผุดแผ่นดินขึ้นมาใหม่เท่าวาผัดมนขอให้พระพุทธเจ้าเอาเท้าหรือเรียกว่าปาตะตินข้างซ้ายเหยียบย่ำลงไปบนลูกแสงแก้วข้าวนั้น กว้าง 26 นิ้วฟุต ยาว 65 นิ้วฟุต ให้ไว้เป็นที่กราบไหว้แก่มนุษย์และเทวดาตลอดห้าพันวัสสาสืบไป


แล้วมาต่อกันอีกตอนให้จบครับ
บันทึกการเข้า
konhuleg.
Jr. Member
**
กระทู้: 90


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2015, 01:46:32 PM »


ตอนที่ 3

เมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ตาทั้งหลายก็ได้เสด็จไปยั้งเมืองอังครัฐนคร หรืออำเภอจอมทองปัจจุบัน ล่วงกาลเวลาผ่านไปเมื่อนับพ.ศ.เกิดขึ้นที่วัดพระพุทธบาทแก้วข้าวแห่งนี้ได้พระเถระเจ้าองค์หนึ่งมีชื่อว่า พระมหาธรรมราช ตรงกับพ.ศ.1000 พระธรรมราช ได้มาอยู่จำศีลภาวนา เป็นผู้ที่มีบุญญาธิการมาก ท่านมหาเถระธรรมราชได้สร้างวัตถุบูชายังสารรูปของพระพุทธเจ้าองค์เล็กไว้ห้อยคอ พระมหาเถระธรรมราชก็ได้ตั้งจิตอธิฐานให้สำเร็จคำอธิฐาน ร้อนไปถึงพระพรหมชินนะปัจจะระบนสวรรค์ พระพรหมชินนะปัจจะระได้นำก้อนแก้วมณีโชคมาถวายทานให้ท่านมหาเถระธรรมราช มีหลายสี พระมหาเถระธรรมราชก็ได้ให้ช่างมาแกะสลัก ไม่มีช่างคนไหนแกะได้คำอธิษฐานของพระมหาธรรมราช ร้อนไปถึงพยาอินตาบนสวรรค์ พระยาอินตาก็ได้มอบหมายให้เทวดาประจำวันทั้งเจ็ดปลอมเป็นชีผ้าขาวไปขออนุญาตจากพระมหาธรรมราช


เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ชีผ้าขาวทั้งเจ็ดคนช่วยกันแกะสลักก้อนแก้วมณีโชคหลากหลายสีองค์ใหญ่เอาบูชาไว้กับบ้านเรือน องค์เล็กเอาห้อยคอ แกะสลักได้เจ็ดวันได้พระรูปแก้วมณีโชค 8400 องค์ พระมหาเถระก็ได้ทำพิธีสวดมนต์เทศนาธรรม พระมหาเถระและชีผ้าขาวบอกให้ชาวบ้านทำบอกไฟจุดขึ้นมาบนท้องฟ้าได้ 108 ลูก ชีผ้าขาวพากันขึ้นนั่งบนหัวบอกไฟแล้วจุดขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้าง ชีผ้าขาวก็หายไปในอากาศ ชาวบ้านชาวเมืองหากันแตกตื่นส่งเสียงร้องสาธุ สาธุ สาธุ เป็นโกลาหลทั่วทั้งเมือง


พระมหาเถระทำนายไว้ว่าในข้างหน้าจะได้เป็นมหานครมีนามว่า พิสดารนคร อยู่ต่อมาลุถึงพ.ศ.1200 ปี ก็มีเจ้าแม่จามเทวี มาสร้างเมืองใหม่นามว่า พิสดารนครตามที่พระมหาเถระได้ทำนายไว้แล้ว พระมหาเถระนำเอาพระแก้วมณีโชค 8400 องค์ บรรจุในไห 56 ไห ขุดฝังดินลึก 7 ศอก ให้พยานาค มีนามว่า พระยาสีเสน เป็นผู้ดูแลรักษา  มาจนถึงสมัยสมเด็จโต พรหมรังสี ได้ออกเดินธุดงค์มาถึงวัดพระพุทธบาทแก้วข้าว หลวงปู่สมเด็จโต พรหมรังสี เอาแก้วมณีโชคไปห้าไห และได้เก็บไว้บนเพดานอุโบสถวัดระฆัง


อยู่ต่อมาปลายปีพ.ศ.1200 มีข้าศีกพม่ายกทัพทหารมาล้อมรอบเมืองพิสดารนคร ช่วยกันขุดรอยพระพุทธบาทเพื่อยกไปเมืองตองอู พม่า เจ้าแม่จามเทวีรู้ข่าวก็นำอาอาหารจากนครหริภุญชัยมาสู้รบขับไล่ สนามรบคือ แพะดินแดง หรือหมู่บ้านแพะดินแดงปัจจุบัน จนได้ชัยชนะ เจ้าแม่จามเทวีได้นำทหารมาบูรณะซ่อมแซมยังรอยพระพุทธบาท และสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายได้คืนดังเดิม แล้วก็ได้สร้างเจดีย์สูง พระเจ้าโท้ เป็นอนุสรณ์สถานประกาศชัยชนะในครั้งนั้น


อยู่ต่อมาจนถึงพ.ศ.2452 มีเจ้าแม่ดารารัศมี ครองราชย์นครเชียงใหม่ มาถวายดอกไม้เงินดอกไม้ทองยังรอยพระพุทธบาทแก้วข้าว ตรงกับวันที่ 30 มีนาคม 2452 เวลาเที่ยงถึง 16.00 น. แล้วเสด็จไปยังบ้านพักรับรองท่าเดื่อ อ.ดอยเต่า


ต่อมาพ.ศ.2467 ครูบาศรีวิชัย พร้อมด้วยลูกศิษย์ศรัทธาทั้งหลายมาบูรณะสร้างวิหารใหญ่ครอบรอยพระพุทธบาทแก้วข้าวตามที่ได้เห็นมาจนถึงทุกวันนี้

ต่อมาพ.ศ.2468 ครูบาขาวปี๋ (ครูบาอภิชัยขาวปี) พร้อมด้วยลูกศิษย์ศรัทธาผู้ใจบุญทั้งหลาย ได้ช่วยกันปรับปรุงพื้นที่ในเขตพุทธาวาสให้ราบเบียงมาจนถึงทุกวันนี้


ต่อมาพ.ศ.2538 ก็มีครูบาทอง สิริมงฺคโล เจ้าคณะอำเภอฮอด พร้อมด้วยคณะสงฆ์ศรัทธาช่วยกันบูรณะเปลี่ยนดินขอหลังคาวิหาร ช่อฟ้าใบระกา ไฟฟ้าและน้ำประปาเข้าสู่วัดพระบาทแก้วข้าว มาถึงพ.ศ.2546 ครูบาทอง สิริมงฺคโล ให้แม่ชีศรีบุตร สุปินตา พร้อมคณะได้เข้ามาพัฒนาฝึกสอนกรรมฐาน ยุบหนอ พองหนอ ในแนวสติปฐาน4 มีกาย เวทนา จิต ธรรม เป็นบ่อเกิดปัญญาสว่างขจัดยังกองทุกข์ให้สิ้นสุดไป มีพระอธิการอินถา เดชวโร เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน


ทั้งนี้ ในแต่ละปีจะมีประเพณีสรงน้ำพระพุทธบาทแก้วข้าว วันเพ็ญเดือน 6 เหนือ (ก.พ.-มี.ค.)ซึ่งถ้าหากใครมีโอกาสแวะผ่านมาเที่ยวทาง อ. ฮอด ก็สามารถแวะมานมัสการรอยพระพุทธบาทกันได้ครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ขึ้นบน พิมพ์ 
จองที่พักราคาถูกทั่วประเทศโทร 053266550-2  |  เชียงใหม่ - ข้อมูลเกี่ยวกับเชียงใหม่ - ที่พัก โรงแรม การเดินทาง วัดจังหวัดเชียงใหม่ ร้านอาหาร สถานที่เที่ยวกลางวัน กลางคืน ฯลฯ  |  วัดในจังหวัดเชียงใหม่  |  หัวข้อ: ตามรอยพระพุทธบาทที่ วัดพระพุทธบาทแก้วข้าว « หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  




Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.5 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 5.1 วินาที กับ 20 คำสั่ง