ตอนที่2
เข้ามาถึงกันบริเวณด้านใน เป็นไปตามคาด ที่ไม่ค่อยจะมีนักท่องเที่ยวกันมากนัก เทียบกับน้ำพุร้อนที่สันกำแพงแล้ว ที่นั้นแลดูจะคึกคักกว่าหลายขุม แต่นั้นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรกับผม เพราะผมมาเที่ยวไมได้เกี่ยวว่าคนจะเยอะหรือว่าน้อย ขอแค่สถานที่เที่ยวมันสวยงามเป็นพอใช้ได้
นับนิ้วไล่ดูเห็นจะมีแค่กลุ่มเด็กวัยรุ่นอยู่ 5 -6 คนมาถ่ายภาพเล่น ออกแนวพวกฮิปสเตอร์อะไรเทือกนั้น เมื่อดูจากการแต่งตัว นี่ถ้าอากาศช่วงนี้หนาว ผมคงคิดว่าตัวเองอยูที่ญี่ปุ่นเป็นแน่แท้ เพราะจากสภาพแวดล้อมของน้ำพุร้อน กับเด็กๆ วัยรุ่นกลุ่มนั้น ที่ทำตัวเข้ามาประกอบฉากประหนึ่งกำลังอยู่ในแดนปลาดิบ
น้ำพุร้อนเทพพนม เป็นน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ผุดขึ้นมาจากใต้ดินกันครับมีอุณหภูมิของน้ำอยู่ระหว่าง 30 ถึง 90 องศาเซลเซียส ลักษณะโดยสังเขปเป็นพื้นที่โล่งมีบ่อน้ำร้อนกระจายอยู่โดยรอบ โดยมีบ่อน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ซึ่งน้ำร้อนแต่ละบ่อมีความร้อนแตกต่างกันไป
น้ำพุร้อนแห่งนี้ ลักษณะทางธรณีวิทยา มีก้อนหินมนใหญ่ของแร่ควอรตซ์ และหินไบโอไทต์ไนส์ หินชีสต์ หินฟิลไลต์ และหินชนวน อายุไซลูเรียน-ดีโวเนียน ส่วนลักษณะทางกายภาพ น้ำพุร้อนมากกว่า 15 บ่อ เป็นชนิดบ่อน้ำร้อนและบ่อน้ำซึม วางตัวเป็นแนวเหนือ-ใต้ ตามแนวรอยเลื่อน ไหลรวมกันเป็นธารน้ำร้อนลงสู่ น้ำแม่แจ่มและลักษณะทางเคมี พบก๊าซผุดขึ้นมากับน้ำพุร้อนเป็นจำนวนมาก มีกลิ่นกำมะถันรุนแรง พบแร่แปรสภาพพวก ซิลิกา เหล็ก คาร์บอเนต
สำหรับภายในบริเวณน้ำพุร้อนนั้น มีพื้นที่สร้างไว้สำหรับเดินชมตามบ่อน้ำร้อนตามจุดต่างๆในบริเวณ ซึ่งมีลักษณะเดินรอบเป็นวงกลมระยะประมาณ 400 เมตร เป็นพื้นราบ บริเวณตรงกลางของทางเดินจะเป็นบ่อน้ำแร่ขนาดใหญ่ สีของน้ำจะเป็นสีเขียวมรกต ซึ่งตรงจุดนี่ถือว่าเป็นจุดที่สวยที่สุดของน้ำพุร้อนกันครับ และมันก็ทำให้น้ำพุร้อนแห่งนี้ สวยและมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร เหมือนๆ กับหลายๆ ที่ก่อนหน้านี้ที่ผมไปมาแล้วถ้าไม่หาว่าโอเวอร์ บางอารมณ์ยังคิดว่านี่มันยังกับญี่ปุ่นชัดๆ (ไม่เคยไปหรอก ฮ่าๆๆ)
ตามเส้นทางเดินชมบ่อนำพุร้อนนั้นระหว่างเดินจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของแร่ต่างๆ รวมทั้งความร้อนจากตัวน้ำพุกันครับ ซึ่งผมคิดว่า ถ้ามาเที่ยวในช่วงหน้าหนาว คงจะเป็นอะไรที่เข้าท่ากันสุดๆ เลยทีเดียว
ส่วนตอนหน้า ซึ่งเป็นตอนสุดท้าย จะมาเล่าปิดท้ายถึงเรื่องราวของน้ำพุร้อนแห่งนี้กันครับ เพราะรู้สึกว่ายังค้างคากันอยู่ 2-3 เรื่องอยู่ในหัว แต่ยังคิดไม่ค่อยออก