ตะลอนเที่ยววัดเชียงใหม่ "วัดกองทราย"

[konhuleg]

วัดกองทราย อีกหนึ่งวัดใน อ.สารภี ที่อยากจะแนะนำให้รู้จักกันครับ เผื่อใครอยากมาไหว้พระ ทำบุญ

วัดกองทราย ตั้งใน ต. หนองผึ้ง อ.สารภี จ.เชียงใหม่ มีเนื้อที่ด้วยกันประมาณ 4 ไร่ วัดกองทรายแต่เดิมชื่อว่า “วัดยางหนุ่ม” เพราะบริเวณที่สร้างวัดมีแต่ต้นยาง มีต้นไม้ยางต้นหนึ่งใหญ่มาก เมื่อถูกตัดแล้ว มีเรื่องเล่าว่า คน 8 คน นั่งล้อมวงกินข้าวบนตอไม้ยางต้นนี้ได้อย่างสบาย

วัดกองทรายนี้ ได้สร้างขึ้นในสมัย พระเจ้าเม็งรายมหาราช สร้างเวียงกุมกามขึ้น โดยมีเจ้าแม่ คำแพร เป็นผู้สร้าง และต่อมาได้กลายเป็นวัดร้าง จากนั้น ท้าวก้อนสิทธิ์ แพทย์ประจำตำบลคนหนึ่ง ได้ชักชวนราษฎรสร้างขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. 1929 เนื่องจากการสร้างวัดเดิม ขุดที่ดินตรงไหนก็เจอแต่ทราย จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็น “วัดกองทราย”

สำหรับศาสนสถานที่น่าสนใจ มีวิหารทรงล้านนา ตัวอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่มีการสร้างผนังด้านข้างทั้งสี่ด้าน มีหน้าต่าง และช่องแสงโดยรอบทุกด้าน บริเวณผนังภายในเขียนด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง มีการยกเก็จของผัง ลักษณะโครงสร้างของอาคาร เป็นการผสมผสานระหว่าง โครงสร้างก่ออิฐฉาบปูน กับ โครงสร้างไม้ ส่วนเครื่องบนหรือหลังคา สร้างด้วยโครงสร้างไม้ในระบบเสาและคาน หลังคาเป็นทรงจั่วมีการซ้อนชั้นของหลังคาด้านหน้าสองชั้น หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาหรือแป้นเกล็ด (หลังคาแผ่นไม้) บันไดวิหารเป็นแบบบันไดนาคคายมกร

ข้างๆ วิหารมีเจดีย์วัด แบบล้านนา สีทองอร่าม ที่รับเอาอิทธิพลแบบอย่างจากวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น สุโขทัย พุกาม มาผสมผสานกันพัฒนาจนเป็นรูปทรงใหม่ที่ลงตัวและใช้กันแพร่หลาย รอบเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปประดับด้วยกันหลายองค์ อย่างปางนาคปรก ที่เป็นพระพุทธรูปลักษณะนั่งสมาธิ และมีพญานาคแผ่หัวเป็นพังพานขึ้นจากไหล่ไปปรกพระเศียรของพระพุทธรูป ซึ่งแต่เดิมทำเป็นรูปพญานาคเป็นมนุษย์ มีรูปงู 7 หัวเป็นพังพานขึ้นจากไหล่ไปปรกพระเศียร (ศีรษะ) ในกิริยาที่พญานาคทำท่านมัสการพระพุทธเจ้า ต่อมาภายหลังทำพญานาคเป็นรูปงูขดตัวเป็นฐานตั้งพระพุทธรูปนั่งสมาธิบนตัวพญานาค และมีพังพานและหัวของพญานาค 7 เศียรปรกอยู่ หรือจะปางห้ามสมุทร (บางตำราเรียกว่าเป็นปางห้ามญาติ เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองแบบตั้งขึ้นยื่นออกไปข้างหน้าเสมอพระอุระ (อก) เป็นกิริยาห้าม บางแบบเป็นพระทรงเครื่อง มีลักษณะคล้ายกันกับปางห้ามพยาธิ

สุดท้าย อุโบสถวัดกองทรายจะอยู่ซ้ายมือของพระวิหาร เป็นอุโบสถล้านนาหลังขนาดเล็ก อาคารที่สำคัญภายในวัดเป็นสถานที่ที่พระภิกษุสงฆ์ใช้ทำสังฆกรรม ซึ่งแต่เดิมในการทำสังฆกรรมของ พระภิกษุสงฆ์จะ ใช้เพียงพื้นที่โล่ง ๆ ที่กำหนดขอบเขตพื้นที่สังฆกรรมโดยการกำหนดตำแหน่ง“สีมา” เท่านั้น แต่ในปัจจุบันจากการมีผู้บวชมากขึ้น อีกทั้งภายในพระอุโบสถมักประดิษฐานพระประธานที่เป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญๆ ทำให้มีผู้มาสักการบูชาและร่วมทำบุญเป็นจำนวนมาก พระอุโบสถจึงถูกสร้าง ขึ้นเป็นอาคารถาวรและมีการประดับตกแต่งอย่างสวยงาม