กินเบียร์เสร็จแล้ว อย่าลืมกินสปอนเซอร์นะ ตื่นมาจะได้ไม่แฮงคำสั่งก่อนหนีไปนอนของพี่เล็ก เพื่อนร่วมทริป (แว่นหาย) ของผม ตอนราวๆ ตีสอง ยังคงดังวนเวียนอยู่ในหัว เมื่อผมต้องดีดตัวเองขึ้นมาตอนตี 4 เพื่อลากสังขารตัวเองขึ้นรถกระบะ 4X4 ไปชมทะเลหมอกที่เขาพะเนินทุ่งพร้อมๆ กับชาวคณะฟูจิฟิล์ม
เส้นทางจากธนูรีสอร์ทมุ่งหน้าไปยังเขาพะเนินทุ่ง จัดว่าค่อนข้างระห่ำพอสมควร เพราะมันต้องขับรถขึ้นผ่านทางโค้ง และถนนตัดลำธาร แถมบางช่วงของถนนก็ติดกับริมเหว รวมทั้งยังมีสภาพเป็นลูกรังกันอีกด้วย เรียกได้ว่าลำบากกันพอสมควรกับการนั่งรถขึ้นมาชมทะเลหมอกยามเช้ากันที่นี้ และอาการโยกไปโยกมาระหว่างนั่งรถ คือสิ่งที่พวกเราต้องพบเจอ ไปพร้อมๆ กับความตื่นเต้น
ประมาณ 7 โมงเช้าเห็นจะได้ สุดท้ายผมก็หอบสังขารตัวเองที่ทั้งเมาและง่วงนอนสุดๆ ขึ้นมาชมทะเลหมอกกัน ซึ่งพอตะวันเริ่มขึ้น ดวงตาตัวเองเริ่มเปิด (แบบเบลอๆ) ก็ทำให้พบว่าผู้คนที่ดั้นด้นมาชมทะเลหมอกเขาพะเนินทุ่งเยอะกันแบบสุดๆ ชนิดที่ถ่ายรูปคู่กับป้ายทางการ ต้องเข้าแถวรอคิวกันเลยทีเดียว
สำหรับข้อมูล เขาพะเนินทุ่ง เป็นภูเขาสูงประกอบด้วยทุ่งหญ้ากว้างสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,207 เมตรบริเวณโดยรอบจะเป็นป่าดงดิบมีสัตว์ป่านานาชนิดมากมาย โดยสภาพภูมิประเทศมีความอุดมสมบูรณ์และมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม
ความสวยงามในระดับนางงามยังต้องหลีกทางให้ของเขาพะเนินทุ่ง อยู่ที่จุดชมทะเลหมอกในยามเช้า ที่สามารถมองเห็นทะเลหมอกสีขาวปกคลุมไปทั่วหุบเขา ซึ่งพอทะเลหมอกสลายตัวไปแล้ว ก็จะมองเห็นผืนป่าดงดิบเบื้องล่างเบียดตัวกันอย่างหนาแน่น ท่ามกลางเทือกเขาสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดตา เรียกได้ว่าคุ้มค่าแน่นอนกับการถ่อสังขารขึ้นมาชมวิวทิวทัศน์กันบนนี้
ทั้งนี้ เขาพะเนินทุ่งสามารถชมทะเลหมอกได้เกือบตลอดปีนะครับ โดยจะมีจุดชมทะเลหมอก 2 จุดด้วยกัน คือ จุดชมวิวกิโลเมตรที่ 30 และ 36 ซึ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป ทะเลหมอกจะสวยงามมาก และมีอากาศเย็นสบายเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเลย
1 ชั่วโมง ผมกับชาวคณะใช้เวลาบนนั้นไปกับการดื่มด่ำความสวยงามของธรรมชาติให้หนำใจ ก่อนกลับลงเขาไป พวกเราพากันจัดข้าวมันไก่คนละห่อ เพื่อดับความหิวในตอนเช้า และเพื่อเอาแรงไปทำกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ส่งท้ายกันก่อนกลับบ้านในช่วงบ่าย กับการทำโป่งเทียมให้อาหารสัตว์ โดยมีเจ้าหน้าที่อุทยานเป็นคนนำทางพาไป
แล้วไว้มาต่อกันตอนจบกับทริปแว่นหายครั้งนี้กันครับ