สุสานบ้านเด่นที่ฝังศพของหลายๆ คนที่ได้นำศาสนาคริสต์เข้ามาในประเทศไทย หรือว่าเข้ามาในเชียงใหม่ค่ะ หนึ่งในนั้นก็ได้แก่ Mr. Daniel Mc. Gilvary เดี๋ยวจะเล่าประวัติของท่านให้ฟังกันหน่อยนะคะ พ.ศ. 2406 ดร.โยนาธาน วิลสัน และ ดร.แดเนียล แมคกิลวารี ได้เดินทางขึ้นมาสำรวจมณฑลพายัพ เพื่อหาลู่ทางในการประกาศพระกิตติคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่สภาพการณ์ทุกอย่างยังไม่พร้อมจึงเดินทางกลับดังนั้นการกลับ มาอีกครั้งของ ดร.แดเนียล แมคกิลวารี พร้อมด้วยโซเฟียภรรยาซึ่งเป็นบุตรีของหมอบรัดเลย์กับลูกเล็กๆ อีก 2 คน ในปี พ.ศ. 2410 ซึ่งตรงกับสมัยเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ (เจ้าชีวิตอ้าว) เป็นผู้ครองนครเชียงใหม่ลำดับ ที่ 6 ซึ่งเดิมทีมีความสัมพันธ์กันมาก่อนเมื่อครั้งที่ ดร.แดเนียล แมคกิลวารีและโซเฟีย แต่งงานกัน นั้น ได้นำ ขนมแต่งงานไปมอบให้เจ้ากาวิโลรสสุรยวงศ์ซึ่งขณะนั้นลงมาถวายเครื่องราชบรรณาการที่พระนครพอดีรุ่งขึ้นเจ้าหลวงเชียงใหม่และธิดาทั้งสองก็ได้ไปเยยี่ม ดร.แดเนียล แมคกิลวารีและภรรยาถึงเรือนหอเป็นการตอบแทน นับเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างเจ้าหลวงเชียงใหม่กับ มิชชนันารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน จุดมุ่งหมายของ ดร.แดเนียล แมคกิลวารี ก็คือ การก่อตั้งคริสตจักรและเผยแพร่คริสตศาสนาในนครเชียงใหม่แห่งอาณาจักรล้านนา ซึ่งมีฐานะเป็นประเทศราชส่งบรรณาการต่อกรุงสยามแต่มีอิสระในการปกครองภายในอย่างเต็ม ที่ซึ่งการดำเนินงานของมิชชันนารีในช่วงแรกเต็มไปด้วยอุปสรรคนานัปการ เริ่มจากการเดินทางโดยเรือที่แสนยากลำบากใช้เวลานานร่วม 3 เดือน มาถึงนครเชียงใหม่ วัน ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2410 โดยพักอยู่ที่ศาลาย่าแสงคำมา (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของตลาดวโรรส) ท่ามกลางความประหลาดใจ ของชาวพื้นเมืองที่มองดูฝรั่งและข้าวของเครื่องใช้อย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน พวกมิชชันันารีต้องทนอยู่ กับสายตาของชาวพื้นเมืองที่พากันมุงดูพวกกุลาขาว หรือ กุลาเผือกอยู่นานกว่าจะมีท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้นในเวลาต่อมา นั่นคงมีสาเหตุจากความมุ่งมั่นในการปฏิบัติภารกิจ 3 ประการของมิชชันนารี คือ สอนศาสนา รักษาโรค และก่อตั้งโรงเรียนแบบตะวันตก ที่มา
http://thaicrc.info/collect/thaicrc2/index/assoc/D2318.dir/2318.pdf