ท่องโลกใต้ดิน อันซีนฯ“ถ้ำแม่ฮ่องสอน”

[auto]

ในวันที่ฟ้าฉ่ำฝน หัวใจของเราก็ชุ่มฉ่ำด้วยอาการเริงร่า ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวสายฝน เพราะด้วยจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวครั้งนี้ ไม่ได้อยู่บนฟ้า บนบก หรือใต้น้ำ แต่จะหนีลงไปเที่ยวถึงใต้ดิน !?!
       ซึ่งใต้ดินที่ว่าก็ไม่ใช่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินในเมืองกรุง แต่เป็น “ถ้ำ” ที่อยู่ไกลถึงแม่ฮ่องสอน โน่น...มิหนำซ้ำ ยังไม่ใช่แค่บุกตะลุยแค่ถ้ำเดียวเดี่ยวๆ แต่หาญกล้าและท้าทาย มุดใต้ดินทีเดียว 2 ถ้ำซ้อน เพราะไหนๆ ก็ไปไกลถึงเมืองสามหมอก เลยต้องขอมุดขอเที่ยวให้หนำใจกันไปเลย
       
       เราเปลี่ยนบรรยากาศไปสัมผัสความงามใต้ผืนถ้ำ โดยเริ่มต้นดำดิ่งที่แรกคือ “ถ้ำลอด” อ.ปางมะผ้า ถ้ำที่ถูกยกให้เป็นอันซีนว่าด้วยความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ และยังมีเรื่องราวลี้ลับหลังความตาย ที่กลายมาเป็นแหล่งโบราณคดีล้ำค่าซ่อนอยู่

จากอำเภอปางมะผ้าเข้าไปตามทางบ้านถ้ำลอดอีกประมาณ 9 กิโลเมตรก็ถึง “สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าถ้ำน้ำลอด” ก่อนอื่นต้องเข้าไปติดต่อกับเจ้าหน้าที่เสียก่อน เพราะภายในถ้ำนั้นมืดมาก จึงต้องมีผู้นำทางซึ่งก็คือชาวบ้านในหมู่บ้านที่จะรวมตัวมาให้บริการ พร้อมกับตะเกียงเจ้าพายุ คิดราคา 100 บาท

ในภาพ โลงผีแมน ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นโลงศพของมนุษย์โบราณ อยู่ในถ้ำผีแมน

[auto]

 เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เป็นอันพร้อมลุย เลาะเลียบไปตามลำห้วยเล็กๆ ที่ชื่อ “ลำน้ำลาง” ระหว่างทางที่เดินก็แสนจะร่มรื่นเพราะเป็นป่าไม้เขียวขจีมีเม็ดฝนเล็กๆ โปรยลงมาให้พอรู้สึกเย็นๆ จนกระทั่งมาถึงหน้าปากถ้ำ เท่านั่นแหละ...ความตื่นตาตื่นใจ ก็เริ่มก่อตัวในใจ ในบัดดล
       
       เพราะภาพที่เห็นคือ “ลำน้ำลาง” ทั้งสายที่เมื่อสักครู่ยังเดินเลียบลัดเลาะมาด้วยดีๆ แต่กลับหายเข้าไปในโพรงถ้ำขนาดใหญ่ซะอย่างนั้น เหล่านักผจญภัยหัวใจชอบลุย ต้องเดินไต่ไปตามสะพานไม้เล็กๆ ไปยังปากถ้ำ พร้อมๆ กับเพ่งมองหาที่มาที่ไปของทางน้ำ แต่ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าลำน้ำนั้นไปสิ้นสุดตรงไหน นอกจากจะต้องเข้าไปพิสูจน์ข้างในถ้ำด้วยตัวเอง
       
       ซึ่งทางเดียวที่จะผ่านเข้าไปในตัวถ้ำได้ ก็คือต้องนั่งแพไม้ไผ่เข้าไปในโพรงถ้ำที่มืดมิด ทิ้งความสว่างของแสงอาทิตย์ไว้เบื้องหลัง มีเพียงแสงจากตะเกียงเจ้าพายุส่องนำทางเห็นเป็นจุดเล็กๆ เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ตระการตาของหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ ความรู้สึกตื่นเต้นก็ยิ่งทบทวีคูณ

ในภาพ บริเวณปากทางเข้าถ้ำลอดมองเห็นลำน้ำลางไหลลอดผ่านเข้าไปในถ้ำ

[auto]

นั่งแพมาได้ประมาณ 100 เมตร ก็ถึงจุดที่ต้องขึ้นฝั่ง พร้อมๆ กับที่ต้องพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืด เพราะจะต้องค่อยๆ ปีนป่ายไต่บันไดกันหลายขั้นหลายครั้ง ถ้าเดินไม่ดีก็มีสิทธิลื่นล้มได้
       
       พี่คนนำทางเล่าให้ฟังว่า ถ้ำลอดนี้มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ประกอบด้วยถ้าใหญ่ๆ 3 ถ้ำ ถ้ำแรกก็คือ ถ้ำเสาหิน ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่มีเสาหินปูนขนาดใหญ่ยักษ์สูงเกือบ 20 เมตร ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางถ้ำ นอกจากนั้นยังมี ม่านหินย้อย ที่เมื่อสะท้อนกับแสงไฟแล้วเกิดเป็นประกายแวววาวที่สวยงามมาก ส่วนที่เห็นหลุมแอ่งขนาดใหญ่ก็คือ หลุมยุบ ที่เกิดจาการที่พื้นดินทรุดตัวลงไปนานเอง

ในภาพ ชาวบ้านในชุมชนถ้ำลอด คอยทำหน้าที่ถ่อแพและถือตะเกียงนำชมภายในถ้ำลอด

[auto]

ขณะที่เดินไปเรื่อยๆ พี่คนนำทางก็จะชี้ชวนบอกชื่อและรูปร่างลักษณะของหินงอกหินย้อยที่เรียงรายอยู่รอบโพรงถ้ำ แต่นั่นก็ไม่เท่ากับจินตนาการของ  ซึ่งได้โลดแล่นไปไกลถึงไหนต่อไหน และก็คงไม่ต่างกับเพื่อนร่วมทริป เพราะต่างคนก็ต่างจินตนาการรูปร่างของหินในมุมที่มองเห็น จึงไม่แปลกถ้าหินก้อนหนึ่งจะดูเหมือน “หินกระเทียม” ในขณะที่อีกเสียงอาจจะค้านว่าเป็น “หินดอกกะหล่ำ” หรือในขณะที่คนหนึ่งเห็น “หินรากฟัน” แต่อีกคนเห็น”หินหูช้าง” หรืออีกคนเห็น “หินจานบิน” นับเป็นอีกหนึ่งความสนุกสนานในการเที่ยวถ้ำ
       
      รู้สึกว่ายิ่งเดินยิ่งลึกยิ่งเข้าใกล้ ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ จนไปถึงถ้ำที่สองคือ “ถ้ำตุ๊กตา” จะเห็นมีหินงอกเป็นปุ่มปมเล็กๆ คล้ายตุ๊กตาเรียงรายอยู่มากมาย และแต่ก่อนนี้ที่ด้านหนึ่งของผนังถ้ำจะมีภาพเขียนสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นรูปสัตว์ต่างๆ ซึ่งสื่อให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของมนุษย์ถ้ำในสมัยก่อน แต่ตอนนี้ภาพเหล่านั้นได้เลือนหายไปแล้ว

ในภาพ เสาหินปูนขนาดใหญ่ยักษ์สูงเกือบ 20 เมตร ที่ถ้ำเสาหิน

[auto]

และจากถ้ำนี้ไปก็ต้องถ่อแพไปอีกยังถ้ำที่สามคือ “ถ้ำผีแมน” ที่นอกจากมีหินงอกหินย้อยสวยงามแล้ว ยังมีเศษภาชนะดินเผา เมล็ดพืช เครื่องมือหิน ซีกฟันและกระดูกคน รวมทั้ง โลงผีแมน ซึ่งเป็นท่อนไม้ที่ถูกขุดส่วนกลางออกเป็นร่องคล้ายเรืออยู่กระจัดกระจายในถ้ำ สันนิษฐานว่าเป็นโลงศพของมนุษย์โบราณ
       
       พี่คนนำทางบอกว่าในช่วงเช้าและเย็นจะเห็นนกนางแอ่นตะโพกขาวหางแฉก และค้างคาว บินเข้าออกจากถ้ำเพื่อไปหากิน โดยจะบินสวนทางกันนับแสนตัว และในลำน้ำลางก็ยังมีปลาพลวงจำนวนมาก ให้ได้ดูกัน

ในภาพ ความมหัศจรรย์และยิ่งใหญ่อลังการภายในถ้ำลอด

[auto]

แต่ด้วยเวลาที่จำกัด จึงต้องรีบลาจาก “ถ้ำลอด” ถ้ำที่มีลำน้ำไหลผ่านทะลุเขา มีหินงอกหินย้อยที่งดงามและยังเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีคุณค่าในการศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อไปตื่นตาตื่นใจกับถ้ำที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอันซีนเมืองไทยที่อำเภอแม่ลาน้อย นั่นก็คือ “ถ้ำแก้วโกมล” หรือ “ถ้ำน้ำแข็ง” นั่นเอง

ในภาพ ความสวยงามของ ม่านหินย้อย ในถ้ำเสาหินที่เมื่อสะท้อนกับแสงไฟแล้วเกิดเป็นประกายแวววาว

[auto]

 คงยังจำกันได้ถึงโฆษณาอันซีนที่เด็กคนหนึ่งถูกมองว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะ เพราะบอกใครต่อใครว่า มีถ้ำน้ำแข็งอยู่กลางหุบเขา ซึ่งก็ไม่มีใครเชื่อหาว่าเด็กเพ้อเจ้อ แต่จากนี้ไป ขอยืนยันตามที่ได้เห็นว่าน่าจะเป็นถ้ำน้ำแข็งจริงๆ เพราะด้วยลักษณะถ้ำที่มีผนังแวววาวของผลึกแร่แคลไซต์ สีขาวใส ยิ่งเมื่อตอนต้องแสงไฟผลึกแร่จะดูงดงามราวกับเกล็ดน้ำแข็ง เพียงแต่ในถ้ำอาจจะไม่หนาวยะเยือกเย็นเป็นน้ำแข็งเท่านั้น ซึ่งถ้ำอย่างนี้พบได้เพียง 3 แห่งในโลก คือประเทศออสเตรเลีย ประเทศจีน และประเทศไทย
       
       ถามไถ่เจ้าหน้าที่ที่นำชม จึงได้รู้ว่าแต่ก่อนถ้ำนี้ชื่อถ้ำแม่ลาน้อย ถูกค้นพบโดยบังเอิญเมื่อวิศวกรสำรวจเหมืองแร่ได้ขุดเจาะอุโมงค์เข้าไปตามสายแร่ แล้วพบว่าภายในถ้ำเต็มไปด้วยผลึกแคลไซต์ มีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันมากมายหลายแบบ จับตัวกันมองดูคล้ายเกล็ดน้ำแข็ง บ้างก็คล้ายเกล็ดน้ำตาล คล้ายม่าน คล้ายปะการัง ดอกกะหล่ำ ดอกเข็ม บางอันก็เหมือนโคมไฟเพดาน ซึ่งจริงๆ แล้วถ้ำหลายๆแห่งต่างก็มีผลึกแคลไซต์ เพียงแต่อาจจะไม่งดงามและแวววาวเท่ากับที่ถ้ำแก้วโกมล

ถ้ำนี้มีความลึกจากพื้นประมาณ 30 เมตร ระยะทางยาวประมาณ 200 เมตร “ห้องเพริศแพร้วมณีบุปผา” ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ลึกที่สุดนั้นเป็นห้องที่สวยที่สุด เต็มไปด้วยผลึกแร่ที่ราวกับเกล็ดน้ำแข็ง

ในภาพ ผลึกแร่แคลไซต์อันแวววาวราวกับเกล็ดน้ำแข็งภายในถ้ำแก้วโกมล

[auto]

ลืมบอกไปว่าก่อนจะเข้าไปในถ้ำจะมีข้อห้ามไม่ให้สวมเสื้อแจ็คเก็ต หมวก หรือสะพายกระเป๋า หรือสิ่งของอื่นที่ไม่จำเป็น นอกเหนือจากการห้ามจับหรือสัมผัสผลึกแร่ เพราะเกรงว่านักท่องเที่ยวจะไม่ระมัดระวังจนทำให้เกิดความเสียหายกับถ้ำ
       ที่ต้องมีข้อห้ามนั้นก็เพราะผลึกแคลไซต์ในถ้ำนั้นเปราะบางและอ่อนไหวต่อการสัมผัส เพียงแค่โดนสัมผัสเพียงครั้งเดียวอุณหภูมิของร่างกายและความเป็นกรดที่ติดอยู่ในมือเรา ก็จะทำให้ผลึกแร่ใสวาวอายุนับพันนับหมื่นปีเปลี่ยนเป็นสีดำหมดความงามไปในเวลาเพียงไม่กี่วัน

ในภาพ ผลึกแร่แคลไซต์ในถ้ำแก้วโกมลที่เมื่อยามต้องแสงไฟก็สวยงามไปอีกแบบ

[auto]

นานสองนานที่  ทอดน่องเดินชมความงดงามราวกับอัญมณีของถ้ำแก้วโกมล และนึกย้อนไปถึงความงดงามอลังการของถ้ำลอดไม่ได้ จนอดคิดไม่ได้ถึงสำนวนที่“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” จึงใช้ได้ดีกับการเที่ยวถ้ำอันซีนฯที่ถ้ำแม่ฮ่องสอน ซึ่งมีความสวยงามเกินบรรยาย
       แต่สิบตาเห็นสำหรับการเที่ยวถ้ำแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไม่ใช้มือคลำ เพื่อป้องกันไม่ให้ไปถูกจุดเปราะบางของถ้ำที่ธรรมชาติใช้เวลานับล้านปีสร้างสรรค์มา เพราะไหนๆทางจังหวัดแม่ฮ่องสอนก็เปิดถ้ำให้เข้าไปเที่ยวกันแล้ว ทางนักท่องเที่ยวก็จำเป็นที่จะต้องร่วมมืออย่างเคร่งครัดเพื่อรักษาธรรมชาติไว้ให้อยู่กับโลกไปนานเท่านาน

ในภาพ ผลึกแร่แคลไซต์ที่เริ่มจะสะสมก่อตัวเป็นเสาหิน

[auto]

ถ้ำลอด สามารถเที่ยวได้ทั้งปี มีการจัดการรองรับการท่องเที่ยวโดยชุมชนรอบถ้ำ ร่วมกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปาย สามารถเข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่ 08.00-17.00 น. การเข้าชมถ้ำควรมีคนนำทางที่ชำนาญ และมีตะเกียงหรือไฟฉายในการให้แสงสว่าง
       
       การเดินทาง จากอำเภอปางมะผ้าจะมีทางแยก 9 กิโลเมตร สู่บ้านถ้ำลอดซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านถ้ำลอด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน

[auto]

ส่วน ถ้ำแก้วโกมล ตั้งอยู่บริเวณเขาดอยถ้ำ อ.แม่ลาน้อย จะเปิดให้ชมได้ในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม-30 มิถุนายน
       
       การเดินทาง จากแม่ฮ่องสอนใช้ทางหลวงหมายเลข 108 เข้าสู่ อ.แม่ลาน้อย จากหน้าโรงพยาบาลแม่ลาน้อยแยกเข้าไปอีก 5 กม. ถึงถ้ำแก้วโกมลชมถ้ำได้ทุกวัน โดยมีผู้นำชม และเมื่อเข้าชมต้องไม่สัมผัสส่วนใดๆของถ้ำเป็นอันขาด อัตราค่าบริการ ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท


เรื่องและภาพ จาก ผู้จัดการออนไลน์