ตะลุยขุนช่างเคี่ยน ล่าดอกนางพญาเสือโคร่ง 2560

[Dockaturk]

ขุนช่างเคี่ยน สถานที่ที่เรียกได้ว่า น่าจะไปง่าย มาง่ายที่สุด ในการชมดอกนางพญาเสือโคร่งกันครับ เหตุผลสั้นๆ ก็คือมันใกล้ตัวเมืองกว่าใคร กว่าที่อื่นๆ ที่ต้องถ่อไปไกล นั่งรถจนเมื่อยก้น

วิธีเดินทางมายัง ขุนช่างเคี่ยน มีให้เลือกหลากหลาย ไล่ไปตั้งแต่มอเตอร์ไซค์ ที่คนขับต้องใช้ทักษะค่อนข้างสูงหน่อย ส่วนรถยนต์ ก็เช่นกันครับ กับทางคดเคี้ยว เลนเดียวในช่วงสุดท้ายหลายกิโลเมตรก่อนถึงที่หมาย กรณีใครใช้บริการรถโดยสารประจำทาง สามารถติดต่อคิวรถสองแถวได้ที่เชิงดอยสุเทพได้เลย เรื่องราคาไปถามกับคนขับเอา

เส้นทางมายังขุนช้างเคี่ยน คือเส้นทางเดียวกันกับที่ขึ้นมายังพระธาตุดอยสุเทพกันครับ เพียงแต่ขุนช่างเคี่ยนจะอยู่เลยจากพระธาตุดอยสุเทพไปหน่อยหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งก็จะผ่าน พระตำหนักภูพิงค์ราชนิวเศน์ และบ้านม้งดอยปุย เลยขึ้นไปอีก โดยช่วงที่เลยทางแยกลงไปบ้านม้งดอยปุยนั้น จะเป็นถนนเลนเดียว ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังกันพอสมควร โดยเฉพาะรถที่สวนเลนมา

[Dockaturk]

ขุนช่างเคี่ยน หรือสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในเส้นทางเดียวกับพระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิวเศน์ และบ้านม้งดอยปุย โดยสถานีเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยนเป็น 1 สถานี เกษตรฯ ของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสถานีวิจัยเกี่ยวกับ เมล็ด พันธุ์กาแฟ  ไม้ผลเมืองหนาว เช่น ท้อ พลับ บ๊วย พลัม อะโวกาโด มะคาเดเมีย และไม้ผลกึ่งร้อน ได้แก่ ลิ้นจี่

อย่างที่บอกกันไป ไฮไลต์ของการมาที่นี้ คือการมาชมดอกนางพญาเสือโคร่งกันครับ ซึ่งจะขึ้นเรียงรายอยู่ริมสองข้างทางก่อนถึงสถานีและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยนราวๆ 2 กิโลเมตร ช่วงนี้ ใครอยากจอดรถถ่ายรูปตรงไหน ก็เชิญกันได้ตามอัธยาศัยกัน แต่ต้องจอดหลบๆ กันหน่อย กรณีถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ ก็อาจจะง่ายหน่อยกันครับ แต่ถ้ารถยนต์แนะนำว่าให้ไปจอดที่สถานีและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน กันเลยดีกว่า แล้วค่อยเดินมาถ่ายรูปเอา แบบนี้น่าจะเข้าท่ากันมากที่สุด ทั้งนี้ นอกจากริมสองข้างทางแล้ว ตรงภายในและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ก็มีหลายจุดให้ได้เลือกถ่ายรูป

[Dockaturk]

พูดถึงดอกนางพญาเสือโคร่งกันแล้วนั้น ก็ต้องเขียนย้ำกันอีกรอบครับ ว่าดอกจะบานกันในช่วงราวๆ กลางเดือนมกราคม เป็นต้นไป จนถึงราวต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี หลังจากนี้ไปก็จะเริ่มร่วงดโรยลงสู่พื้นดิน ไม่มีให้ดู จะดูอีกทีคือต้องปีหน้า กันเลยล่ะ ฉะนั้นจะไปจะมาที่นี่ ก็เช็คกันให้ดีก่อน วิธีที่ดีที่สุดก็คือโทรถามกับทาง สถานีและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยนครับ อันนี้ชัวร์สุด


อีกเรื่องที่ต้องพูดถึงดอกนางพญาเสือโคร่งก็คือ มันไม่ใช่ดอกซากุระเมืองไทย ที่หลายคนเข้าใจผิด (ขนาดเด็กม้งบนยอดดอยปุยยังเผลอเรียกผิดว่าดอกซากุระ) และไอ้ที่เรียกกันมันแค่ฉายา ซึ่งถ้ารู้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ดอกซากุระ ก็ยังจะพอให้อภัยได้ แต่บางคนไม่รู้ที่มาที่ไป อันนี้ก็ต้องเขียนอธิบาย และขยายความกันให้เข้าใจครับ

[Dockaturk]

นางพญาเสือโคร่ง เป็นพืชดอกในสกุล Prunus พบทั่วไปบนภูเขาตั้งแต่ความสูง 1,200-2,400เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นดอกไม้ประจำอำเภอเวียงแหง เป็นดอกไม้คนละชนิดกับซากุระในประเทศญี่ปุ่น แม้จะอยู่ในสกุลเดียวกันก็ตาม (สกุล Prunus)

นางพญาเสือโคร่งแตกต่างจากซากุระญี่ปุ่น คือมีช่วงเวลาการออกดอกต่างกัน คือ นางพญาเสือโคร่งออกดอกในเดือนมกราคม -กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว ส่วนซากุระในญี่ปุ่นออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่น

นางพญาเสือโคร่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Wild Himalayan Cherry หมายถึง Prunus ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียทางตอนใต้ ตั้งแต่ประเทศไทยไปจนถึงเทือกเขาหิมาลัยในประเทศอินเดีย ส่วนซากุระถูกจำแนกเป็น Cherry blossom หมายถึง Prunus ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียทางตอนเหนือ ตั้งแต่ประเทศจีน, เกาหลี ไปจนถึงประเทศญี่ปุ่นและรัสเซียในเขตไซบีเรีย

เอาเป็นว่า โอเค ใครจะเรียกกดอกซากุระเมืองไทยก ก็เรียกกันต่อไปได้ ขอแค่ทำความเข้าใจที่มาที่ไปมันก็พอ (อันที่จริงแล้ว เรียกว่าดอกนางพญาเสอืโคร่ง นี่แหละ ดีที่สุด มันมีชื่อของมันอยู่แล้ว)

[Dockaturk]

นอกจากดอกนางพญาเสือโคร่งจะมีให้ชม สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน ก็ยังมีกาแฟให้ชมและชิมกันด้วยนะครับ เป็นกาแฟอราบิก้า ที่นำมาจากประเทศเอธิโอเปีย ซึ่งปัจจุบันจังหวัดภาคเหนือได้ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวไทยภูเขาปลูกเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น และยาเสพติดมาตั้งแต่ปี 2529  โดยมีโครงการหลวงฯ และศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่  ศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูง คณะเกษตร มช.พื้นที่ ส่งเสริมปลูกบนภูเขาสูงในเขตอำเภอแม่แตง เชียงดาว ดอยสะเก็ด จอมทอง และ บางเขตอำเภอของจังหวัดเชียงราย จังหวัดแม่ฮ่องสอน

อราบิก้า ด้วยความที่มีรสชาติถูกลิ้น จึงเป็นกาแฟที่ปลูกมากที่สุดในโลก คิดเป็นร้อยละ 80 ของกาแฟทั่วโลก ผลผลิตของเจ้าอราบิก้า มีทั้งผลแดงและผลสีเหลือง เป็นกาแฟคุณภาพดี มีกลิ่นหอม และรสชาติดีกว่าชนิดอื่นๆ ภายใต้กะลากาแฟเขียวแกมเทามีเมล็ดรูปร่างยาวรีของกาแฟอาราบีก้า ซ่อนตัวอยู่ ภายในปริมาณคาแฟอีน 0.75-1.70 เปอร์เซ็นต์ แหล่งโปรดของอราบิก้า คือแถบทวีปอเมริกาใต้ แถวประเทศบราซิลกัวตามาลา และจาไมก้า กลุ่มประเทศเหล่านี้คือแหล่งผลิตกาแฟอาราบิกาชั้นดี

[Dockaturk]

ว่ากันว่ายิ่งแหล่งปลูกกาแฟพันธุ์นี้อยู่สูงขึ้นไปบนเทือกเขามากเท่าใด ยิ่งส่งผลกาแฟอราบิก้ามีรสชาติดีขึ้นมากเท่านั้น เพราะสภาวะแวดล้อมและอากาศต่างๆ นานา มีผลต่อการเจริญเติบโต ทำให้ผลกาแฟใช้เวลาบ่มตัวนานกว่าจะถึงระยะเก็บเกี่ยว ภายในผลจึงอัดแน่นไปด้วยสารอาหารต่างๆ

ในเมืองไทยเราปลูกมาทางภาคเหนือ หลายๆที่ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งผลิตกาแฟชั้นดีมีกลิ่นหอม รสชาติเยี่ยม เช่น กาแฟดอยช้าง ดอยวาวี จังหวัดเชียงราย และดอยขุนวาง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น ที่สำคัญปลายทางของกาแฟพันธุ์นี้ก็คือ การนำมาชงเป็นกาแฟสด ขายกันแก้วต่อแก้วตามร้านกาแฟทั่วไป

ยังๆ ยังไม่หมด ถัดจากสถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยนไป จะมีหมู่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยน ให้ได้เที่ยวชมวิถีชีวิตของชาวบ้านชาวเขาเผ่าม้ง ที่มีวิถีชีวิตเรียบง่าย พร้อมทั้งเลือกซื้อของฝาก มีทั้งงานเย็บปักถักร้อย พืชผักเมืองหนาวนอกกาแฟให้ชิม และวิวทิวทัศน์ของหมู่บ้าน

[Dockaturk]

มากันในเรื่องของที่พัก มีให้เลือกกันที่แรก คือ ศูนย์บริการนักท่องเทียวอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ก่อนถึงหมู่บ้านม้งขุนช่างเคี่ยน 3 กิโลเมตร ที่นี่มีข้อมูลความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยให้อ่านศึกษา ลานกางเต็นท์โดยรอบ มีห้องน้ำบริการอยู่ด้านหลัง โดยพื้นที่โดยรอบมีต้นไม้ปกคลุม อากาศหนาวเย็น ถ้าไปกันในช่วงนี้ ก็จะมีดอกนางพญาเสือโคร่งให้ได้ชมแถวนั้นด้วย ตอนกลางคืนก็สามารถ มองชมวิวทิวทัศน์ของเมืองเชียงใหม่ ที่ว่ากันว่าเป็นดาวบนดิน รายละเอียดที่พัก ไปสอบถามได้ที่นั้นกันเลยครับ

[Dockaturk]

อีกแห่ง เป็นที่พัก สถานีวิจัยและศูนย์ฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช่างเคี่ยน มีบ้านพักทรงเอเฟรมไว้ทั้งสิ้น 3 หลัง สามารถพักอาศัยได้เป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่เกิน 15 คน ภายในเป็นห้องกว้างสำหรับ พักรวม มี 2 ชั้น ชั้นบนสามารถจุคนได้ประมาณ 4-6 คน ส่วนชั้นล่างจุได้ประมาณ 8-12 คน มีที่นอน หมอนและ ผ้าห่ม ห้องน้ำ-สุขา อยู่ภายใน มีห้องครัว สำหรับจัดเตรียม อาหารขนาดเล็ก พร้อมเตาแก๊ส และ อุปกรณ์หุงต้ม ที่จำเป็น ในฤดูหนาว สามารถจุดเตาผิงภายใน เพื่อสร้างความ อบอุ่นได้ ในระหว่างพักอาศัย ผู้พัก อาศัยสามารถ ชมทัศนียภาพโดยรอบสถานี และมีบริเวณโดยรอบระเบียงสำหรับสังสรรค์ได้ตามสมควร บ้านพัก หลังละ 600 บาท พักได้ หากนำเต็นท์ไปเองเสียค่าบำรุงสถานที่ ผู้สนใจสามารถติดต่อที่พักและชำระเงินได้ที่ โทร. 053-222 014 ก่อนวันเข้าพักอาศัย (ในวันและเวลาราชการ)

[parsuk]

เดือน กุมภาพันธ์ ดอกนางพญาเสือโคร่ง ยังมีอยู่ป่าวครับ