รอยพระบาทรัชกาลที่ ๙ @ ค่ายเม็งรายมหาราช (Page 1-3)

[Traveller Freedom]

รอยพระบาทรัชกาลที่ ๙ @ ค่ายเม็งรายมหาราช (Page 1)

สถานที่ตั้ง : มณฑลทหารบกที่ 37 เลขที่ 256 หมู่ที่ 15 ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
พิกัด : 19.907389, 99.808286

    ภายในค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย เป็นที่เก็บรักษาสิ่งล้ำค่าและมีความหมายทางประวัติศาสตร์ นั้นก็คือ “รอยพระบาทรัชกาลที่ ๙” โดยมีประวัติความเป็นมาเริ่มจากสถานการณ์ก่อการร้ายในจังหวัดเชียงรายเมื่อปี พ.ศ. 2497 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือ พคท. ได้ส่งผู้ปฏิบัติงานจำนวนหนึ่งเดินทางเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทยเพื่อแสวงหาแนวร่วมพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเขาที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน จังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่าน รวมทั้งพื้นที่ชายแดนด้านจังหวังพะเยาในปัจจุบัน ภายหลังจากสามารถปลุกระดมชาวเขาได้บางพื้นที่จนสำเร็จในปี พ.ศ. 2507 ได้คัดเลือกส่งไปอบรมวิชาการเมืองการทหารรุ่นแรก ที่เมืองฮัวมินห์ ประเทศธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อกลับมาเตรียมงานในพื้นที่ไว้รอรับสมาชิก พคท. ซึ่งได้เดินทางเข้าสู่พื้นที่จังหวัดเชียงรายในปี พ.ศ.2509 เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการชี้นำด้านการเมืองและการทหาร

    เมื่อสามารถขยายเขตงานได้อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง พคท. จึงเปิดฉากการต่อสู้ด้วยอาวุธกับเจ้าหน้าที่ในภาคเหนือขึ้นเป็นครั้งแรกที่บ้านน้ำปาน อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 ซึ่งถือว่าเป็นวัน "เสียงปืนแตก" ของ พคท. ในเขตภาคเหนือ จากนั้นได้ขยายการต่อสู่เรื่อยมา โดยในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2510 ได้มีการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลที่บ้านห้วยชมภู อำเภอเทิง จังหวัดเชียงรายเป็นครั้งแรกในเขตพื้นที่ดอยยาว-ดอยผาหม่น

    นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 พคท. สามารถจัดตั้งฐานที่มั่นในภาคเหนือได้ถึง 9 แห่ง และฐานที่สำคัญแห่งหนึ่งคือ ฐานที่มั่นดอยยาว-ดอยผาหม่น พคท. ได้จัดตั้งคณะทำงานในรูป "คณะกรรมการจังหวัดเชียงราย" แบ่งพื้นที่ปฏิบัติการออกเป็น 4 เขตงาน คือ เขตงาน 52 เขตงาน 9 เขตงาน 7 และเขตงาน 8

    สำหรับพื้นที่ดอยยาว-ดอยผาหม่นเป็นพื้นที่ควบคุมของ เขตงาน 8 ในเขตอำเภอเทิง และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย รวมทั้งพื้นที่อำเภอเวียงแก่น อำเภอขุนตาลในปัจจุบันนี้ ด้วยกองกำลังติดอาวุธของ พคท. ขณะนั้นมีประมาณ 600 คน มีมวลชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าม้ง อีกประมาณ 2,300 คน ความเคลื่อนไหวที่สำคัญคือขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการสร้างทางและการพัฒนาพื้นที่เพื่อความมั่นคง การสู้รบสมรภูมิแห่งนี้เกิดขึ้นหลายยุทธการ เช่น ยุทธการอิทธิชัย หรือวีรกรรมดอยม่อนเคอ ยุทธการขุนห้วยโป่งและยุทธการเกรียงไกร หรือวีรกรรมเนิน 1188 พญาพิภักดิ์ โดยใช้กำลังทหารในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เข้าปฏิบัติการตรวจล้างและปราบปราม  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 - พ.ศ. 2525 จึงสามารถกำชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

[Traveller Freedom]

รอยพระบาทรัชกาลที่ ๙ @ ค่ายเม็งรายมหาราช (Page 2)

    ในปี พ.ศ. 2524 พัน.ร.๔๗๓ ซึ่งมี พ.ท.วิโรจน์ ทองมิตร เป็น ผบ.พัน เข้าปฏิบัติการในพื้นที่ดอยยาว - ดอยผาหม่น ตามแผนการเพื่อต่อสู่เอาชนะคอมมิวนิสต์ จนเกิดยุทธการยึดเนิน 1188 บนยอดดอยพญาพิภักดิ์ได้ ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยล่มสลายในที่สุด ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 ด้วยพระบารมีปกเกล้าฯ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชองค์จอมทัพไทย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงค์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาธินัดดามาตุ เพื่อทรงเยี่ยมทหารกล้าและราษฎร ณ ฐานปฏิบัติการดอยพญาพิภักดิ์ อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาพระราชทานประทับรอยพระบาทของพระองค์ลงบนแผ่นปูนปลาสเตอร์ที่เตรียมไว้เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่ทหารกล้าทั้งปวงนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    ปัจจุบัน “รอยพระบาทรัชกาลที่ ๙” ประดิษฐานอยู่ ณ ศาลารอยพระบาท กองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๑๗ ในพระองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของกำลังพลคู่กับอนุสาวรีย์ผู้เสียสละสืบต่อไป

    เนื่องในศุภวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระเจริญ พระชนมพรรษา ๖ รอบนั้นเป็นวโรกาสมิ่งมหามงคลอันพิเศษยิ่งที่ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าจักได้แสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีต่อพสกนิกรด้วยการร่วมมือร่วมใจสร้างหอพิพิธภัณฑ์ รอยพระบาท รัชกาลที่ ๙ ไว้เป็นถาวรวัตถุที่ทรงคุณค่าและเป็นสมบัติส่วนรวมของชาติสืบไป

    เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 คณะกรรมการจัดงานนิทรรศการ "พระก่อพระเกื้อหล้า" ได้ทราบความเรื่องรอยพระบาทรัชกาลที่ ๙ และเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์นี้ จึงได้ขอความร่วมมือมายังกองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๑๗ ในพระองค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เพื่ออันเชิญรอยพระบาทฯไปร่วมจัดนิทรรศการ ณ อาคารใหม่สวนอัมพร เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2542 ในงานครั้งนี้มีประชาชนให้ความสนใจเข้าชมจำนวนมาก อีกทั้งมีการแพร่ภาพทางรายการโทรทัศน์ คำถามส่วนใหญ่ คือ รอยพระบาทเกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้สร้างและมีแรงดลใจอย่างไรจึงขอพระราชทานของสิ่งนี้ มีขั้นตอนเตรียมการและวิธีการทำได้อย่างไร มีจุดมุ่งหมายทำเพื่ออะไร ไม่เกรงกลัวบารมีบ้างหรืออย่างไร และอีกมากมายหลายคำถาม ซึ่งความสนใจในเหล่านี้คงเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความในใจใคร่รู้ของประชาชนส่วนใหญ่

    ดังนั้นหากได้มีการก่อสร้างหอพิพิธภัณฑ์รอยพระบาท รัชกาลที่ ๙ และจัดนิทรรศการประวัติศาสตร์ส่วนนี้ให้ไว้กับประชาชน ได้ทราบความเป็นมาและเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนความทรงจำถึงความยากลำบากของการแย่งชิงอธิปไตยเหนือดินแดนแห่งนี้ก็จะเป็นส่วนทำให้เกิดความรู้สึกรักชาติหวงแหนแผ่นดินและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

[Traveller Freedom]

รอยพระบาทรัชกาลที่ ๙ @ ค่ายเม็งรายมหาราช (Page 3)

    เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอลุยเดช ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2549 และเป็นสถานที่ให้ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงรายได้เคารพสักการะ และเป็นสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดเชียงราย รวมทั้งเป็นอนุสรณ์เตือนใจแก่ประชาชน ให้สำนึกในพระกรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญในการทรงเยี่ยมทหาร ณ พื้นที่เสี่ยงภัยโดยไม่คำนึงถึงภยันตราย

    กองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๑๗ ค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงรายซึ่งมีพลเอก อิทธิ สิมารักษ์ เป็นผู้บังคับกองพัน (ยศในขณะนั้น พันโท) ตลอดจนนายทหาร นายสิบ และพลทหาร รวมทั้งข้าราชการพลเรือน ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน ในจังหวัดเชียงราย ต่างตระหนัก และระลึกอยู่เสมอในคุณงามความดี และวีรกรรมในการรบของบรรดาทหารกล้า แห่งค่ายเม็งรายมหาราชซึ่งได้สูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องคุ้มครองภัยให้กับพี่น้องร่วมชาติด้วยความกล้าหาญ จึงได้พร้อมใจกันจัดโครงการอนุสาวรีย์ผู้เสียสละขึ้นในปี พ.ศ. 2518 โดยได้ดำเนินการจัดหาทุนในการก่อสร้าง “อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ” ซึ่งได้รับความเมตตากรุณามุฑิตาจากหลวงพ่อเกษม เขมโกแห่งสุสานไตรลักษณ์ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ได้อนุญาตให้จัดสร้างเหรียญรูปเหมือนของท่าน เพื่อนำไปให้ผู้มีจิตศรัทธาเช่าไว้บูชาเป็นมงคลแก่ตัวเองจนทำให้ได้เงินทุนในการสร้องอนุสาวรีย์จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2521

    อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ มีลักษณะเป็นหุ่นยืนในท่า "เตรียมประจัญบาน" การแต่งกายใช้ชุดปฏิบัติงานในสนามหรือเรียกว่า "ชุดรบ" ขนาดตัวหุ่นสูง 2.50 เมตร ทำด้วยทองเหลืองรมดำเม็ดมะขาม ข้างในกลวง ตัวหุ่นตั้งอยู่ฐานสูง 2 เมตร ลักษณะเป็นแท่นสี่เหลี่ยมฐานกว้างกว่ายอด รอบๆ ฐานอนุสาวรีย์ปลูกต้นอโศกอินเดียทำให้แลดูสงบและวิเวก สมเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตดวงวิญญาณคู่บ้านคู่เมืองเชิดชูเกียรติของชายชาติชาญทหารกล้าสืบต่อไปชั่วกาลนาน

    สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฏราชกุมาร ขณะนั้นทรงพระยศพันเอก ได้เสร็จทรงประกอบพิธีเปิดอนุสาวรีย์ผู้เสียสละแห่งนี้ เมื่อวันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2521 ดังนั้นชาวค่ายเม็งรายมหาราชจึงได้ถือเอาวันที่ 5 กันยายนของทุกปี เป็นวันประกอบพิธีระลึกถึงวีรกรรมผู้เสียสละ ณ บริเวณอนุสาวรีย์ผู้เสียสละแห่งนี้ โดยเชิญชวนข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน สมาคม ชมรมและกลุ่มพลังมวลชนต่างๆ ร่วมกันประกอบพิธีวางพวงมาลาเพื่อสักการะองค์อนุสาวรีย์ผู้เสียสละ และร่วมสมทบทุนกองทุนอนุสาวรีย์ผู้เสียสละ เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของทหารเสือค่ายเม็งรายมหาราช ซึ่งเสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพ จากการรบเพื่อปกป้องพี่น้องชาวไทยต่อไป

by Traveller Freedom

[Penelope]

อยากไปเห็นรอยพระบาทพระองค์ท่าน

[chiangmai food]

ต้องหาโอกาสไปสักครั้ง

[Traveller Freedom]

เจอรูปขณะพระองค์กำลังประทับรอยพระบาท