"Sweet Stories" เรื่องหวาน วันนี้

[ps.wedidit]

พ้นจากวันอาทิตย์ที่ปล่อยความขี้เกียจเริงร่า ทิ้งตัวนอนตั้งครึ่งค่อนวันมาได้ แทบปรับโหมดขยันไม่ทัน เมื่อเช้าวันจันทร์จูงแดดจัดจ้ามาเคาะเรียกที่หน้าประตูบ้าน เราบิดตัวหนีความขี้เกียจ 3 ทีเป็นการบอกลาชั่วคราวแกมไล่ “ไป..ไป๊ เดี๋ยวเจอกันใหม่สุดสัปดาห์”

ช่วงเช้าตามตารางงานที่ปักหมุด หมายไว้ในปฏิทิน เรามีนัดคุยเรื่องงาน ตอน 10 โมงแถวๆละแวกนิมมานเหมินท์ และหลังจากนั้นได้นัดแนะคุณเพื่อนสาวไว้เป็นแม่นมั่นว่าจะไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน ที่ทำงานคุณเพื่อนสาวอยู่หลังมอ แถวๆฝั่งตรงข้ามประตูวิศวะนั่นล่ะ ธุระปะปังและการเจรจาจบลงเร็วกว่าที่คาดไว้  เหลือบดูนาฬิกาเพิ่ง 11.15 น. ยังมีเวลาเหลือร่วมชั่วโมง ก่อนถึงนัดมื้อเที่ยง แล้วคำถามก็ผุดขึ้นทันใด “ไปรอที่ไหนดีล่ะ?” คลับคล้ายคลับคลาว่าละแวกที่ทำงานเพื่อนสาวมีร้านกาแฟ ร้านขนมก็ตั้งหลายร้าน เราเองก็เบื่อๆร้านกาแฟ ร้านขนมอารมณ์นิมมานเหมินท์เพราะแวะเวียนค่อนข้างบ่อยแล้ว เลยเลือกที่จะมุ่งหน้าไปรอใกล้ๆเพื่อนดีกว่า

ขับรถชะลอ และชำเลืองดูร้านน่านั่ง ขอข้ามกาแฟ(โ)สดไปก่อน หาใช่เพียงเพราะเราไม่โสด ^_^ แต่ร้านนี้ถือเป็นร้านประจำที่เรากับเพื่อนมักจะใช้เป็นจุดนัดพบจนกลายเป็นความคุ้นเคย แม้ไม่ได้ก่อเกิดความเบื่อหน่ายแต่ก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกใหม่แปลกตาอย่างที่เรามองหาในตอนนี้ ขับเรื่อยเลยมาจน ซอย 7 ตัดสินใจเลี้ยวเข้าซอยหวังจะหาที่กลับรถในซอย อุ๊ต๊ะ!! มีร้านน่ารักๆขนาด 2 คูหาดูน่านั่งสบายตั้งอยู่ด้วย แค่ชื่อร้านก็หวานหอมแล้ว “Sweet Stories”

ช้าก่อน..ในซอยค่อนข้างเล็ก หาที่จอดรถยาก แม้แต่หน้าร้านเองก็เถอะ ดูท่าแล้วเราคงต้องวนรถออกไปจอดด้านนอก แอบเนียนจอดตรงหน้าร้านบ้านขวัญอินโฮมโน่นดีกว่า แล้วค่อยเดินกลับมานั่งชิลล์รอคุณเพื่อนที่ร้าน Sweet Stories นี้

หน้าร้าน Sweet Stories มีป้ายแสดงชื่อร้านสีหวานติดหรา พอเห็นปุ๊บคงรู้ได้ปั๊บว่ามาถึงไม่ผิดร้าน และตกแต่งแซมสีเขียวผ่อนคลายสายตาทั้งจากต้นไม้จริงในกระถางและหญ้าเทียมประดิษฐ์ปะดอยตามประสาอาคารพาณิชย์ในเมืองใหญ่ที่ต้องการดึงธรรมชาติให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆมากที่สุด ภายในร้านตกแต่งเรียบง่ายสบายตาสไตล์ Contemporary Comfort โทนสีอ่อน ทาผนังด้วยสีขาวเป็นสีหลักและปูพื้นลามิเนทสีครีมทำให้ตัวร้านดูสว่าง กว้าง โปร่งทว่าอบอุ่น เหมาะทั้งมากับเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ มาเป็นคู่กับแฟน หรือพาแขกผู้ใหญ่หัวใจเด็กมานั่งเล่นก็ได้เพราะเค้ามีที่นั่งให้เลือกค่อนข้างหลากหลายและเป็นส่วนตัวเพราะแต่ละที่นั่งจัดวางไม่ชิดติดกันจนอึดอัด ทั้งมุมบาร์กับเก้าอี้ทรงสูงหน้าร้าน มุมสตูลกะทัดรัดข้างตู้ขนม หรือแม้แต่มุมโซฟานั่งหรือเอนกันได้เป็นกลุ่มใหญ่ ที่เราชอบอีกอย่างคือ รอยยิ้มหวานๆของน้องพนักงานสมกับชื่อร้าน Sweet Stories จังเลยค่ะ

พริ้มกับรอยยิ้มหวานๆของน้องยังไม่จุใจ เรายืนเมียงมองของหวานๆในตู้ขนมอยู่นานสองนาน ทั้ง Vanilla Choux Cream ไหนจะมี Banoffee ของโปรด แถมน้องเค้าแนะนำ Honey Toast อีก แต่เกรงว่ามาเดี่ยวแบบนี้จะลุยไม่ไหวเลยตัดสินใจสั่ง Banoffee Cake Truffle ของโปรดมาลองก่อน ส่วนเครื่องดื่มเราสั่งลาเต้เย็นขนาดกลางค่ะ

ต้องยอมรับว่า Banoffee Cake Truffle เค้าจัดเต็มมาในกล่องพลาสติกใสชิ้นใหญ่ หอมละมุน กล้วยและคาราเมลเข้ากันหวานพอดิบพอดีเนียนลิ้นมาก ตัวฐานบานอฟฟี่แอบมีแป้งชูครีมและท้อปปิ้งด้วยโอรีโอ้ซึ่งอร่อยมากตักกินเรื่อยๆคนเดียวจนหมด และกาแฟก็หอม ชงได้กลมกล่อมพอดีถูกใจคออะราบิก้าอย่างเรา สำหรับราคาเครื่องดื่มเริ่มต้นที่ 40-100 บาท มีทั้งแบบร้อน แบบเย็นและเฟล้ปเป้ และนอกจากกาแฟแล้วเครื่องดื่มอื่นๆอาทิ ช็อกโกแล็ต โกโก้ ชาดำ ชาเขียว ชานม อิตาเลี่ยนโซดาก็มีด้วย ส่วนขนม Banoffee ของเรา 70 บาท Choux Cream ก้อนบิ๊กเบิ้ม 60 บาท และ Honey Toast 120 บาท

ของอย่างนี้พอชิมแล้วปลื้ม แก้วต่อแก้ว คำต่อคำ นานๆหวานกันที ยินดีจ่ายและจะมาแวะใหม่แน่นอนค่ะ

[auto]

น่าทานมาก ต้องตามไปชิม แล้ว

[DDjung]

ขอบคุณข้อมูล คร๊าบ

[diamond]

น่าทานจัง

[nirachaya]

ขอบคุณ ข้อมูลคะ