ตอนที่ 2 เดินลงไปตรงที่กั้นน้ำแล้วก็พบว่ามีทางที่มอเตอร์ไซค์สามารถขับลงและข้ามไปยังฝั่งนู้นได้ ซึ่งเมื่อทราบดังนั้นก็ไม่รอช้า ผมขับมอเตอร์ไซค์ข้ามไป โดยไม่สนซักนิดเลยว่ามอเตอร์ไซค์ที่ขับอยู่นั้น มันเป็นมอเตอร์ไซค์เอาไว้ไปจ่ายตลาด
พอขับข้ามมาได้สำเร็จแล้วหันมองกลับมาดู พบว่าฝั่งนี้สามารถมองเห็นวิวของอ่างเก็บน้ำได้ถูกใจพอสมควร แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ ถนนมันสุดแค่ตรงสันเขื่อนแค่นั้น และไม่มีถนนขับอ้อมรอบอ่างเก็บน้ำได้ว่าแล้วงานนี้ก็เลยต้องขับวกกลับมาทางเดิมก่อนจะขับอ้อมไปตามถนนที่เขาสร้างไว้วนขวารอบอ่าง
ระหว่างทางเส้นนี้จะผ่านถนนลูกรังและป่าไม้ที่อยู่ในเขตอุทยานกันครับ บรรยากาศค่อนข้างจะเงียบสงบ ป่าบางช่วงจะร่มรื่น มีสลับกับป่าแห้งๆ บ้าง
ในส่วนของ อ่างเก็บน้ำแม่ผาแหน โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นอ่างเก็บน้ำที่ใช้เพื่ออุปโภค-บริโภค การเกษตรและการปศุสัตว์ สำหรับประชานที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น โดยเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรโครงการหมู่บ้านสหกรณ์สันกำแพง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ มีราษฎรจากตำบลออนใต้เดินทางมาเฝ้ารับเสด็จฯ และถวายแผนผังเพื่อขอพระราชทานสร้างอ่างเก็บน้ำในบริเวณลำน้ำแม่ผาแหน เพื่อส่งน้ำให้ประชาชนในพื้นที่ตำบลออนใต้ ให้สามารถใช้เพื่อการอุปโภคและบริโภคได้
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จฯ ทอดพระเนตรสถานที่ดังกล่าวและมีพระกระแสรับสั่งแก่พ่อหลวงอุดทา อินตายง อดีตผู้ใหญ่บ้านตำบลออนใต้ผู้ขอพระราชทานพร้อมราษฎรผู้ขอพระราชทาน 3 ประการ สรุปได้ความว่า 1.เงินมีน้อย เมื่อสร้างอ่างเก็บน้ำให้แล้ว คู คลองส่งน้ำให้ช่วยกันทำเอง 2.เมื่อสร้างให้แล้วอย่างแย่งกันใช้น้ำ และ 3. ที่ดินข้างเคียง อย่างแย่งกันถือครอง
ต่อมามีการปฏิรูประบบราชการเมื่อเดือนตุลาคม 2545 กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับมอบอ่างเก็บน้ำแม่ผาแหน อันเนื่องมาจากพระราชดำริมาอยู่ในความรับผิดชอบ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา กรมทรัพยากรน้ำ โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 1 ลำปาง ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลอ่างเก็บน้ำแม่ผาแหน ตลอดมา
กลับไปที่เรื่องบรรยากาศของอ่างเก็บน้ำกันอีกรอบเพื่อเป็นการส่งท้าย ผมขับรถมาจอดช่วงกลางทาง แล้วเดินลงไปยังด้านล่างของอ่างเก็บน้ำ สภาพที่เห็นปัจจุบันนี้ต้องบอกว่าน้ำค่อนข้างน้อยครับ ไม่ต่างจากอ่างเก็บน้ำที่อื่นๆ ในเชียงใหม่ ที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ อ่างเก็บน้ำที่นี้เงียบ และห่างไกลจากผู้คน ซึ่งเท่าที่ผมพบเห็นก็มีแค่ชาวบ้านเอาวัวควายไปเลี้ยงก็เท่านั้น ส่วนไอ้เรื่องจะบอกว่ามันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้มั้ย ณ ช่วงเวลานี้ คงต้องบอกว่าไม่ครับ มันเปลี่ยวไป หาใครอยากจะมาปลีกวิเวก
และถ้าจะมา ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณเป็นคนไม่กลัวอะไรซักอย่างแบบผมเลยครับ