หลังสับตีนลงจากรถตู้ เท้าแตะพื้นดินในบริเวณวัด สารภาพแรกๆ ผมเผลออ่านป้ายวัดว่า วัดมวยต่อก็แหม มันใกล้เคียงกันนี่ครับ ต่างกันแค่มีกับไม่มีไม้เอกบนหัวม.ม้า กันเท่านั้น และยังไม่พอผมยังเผลอคิดจินตนาการไปไกลเลยว่า ที่มาวัดนี้ต้องเป็นค่ายมวยมาก่อนแน่ๆ พอค่ายดังส่งนักชกออกตะบันไปทั่วแม่ฮ่องสอน จนปราบนักมวยค่ายอื่นราบเป็นหน้ากลอง เลยได้รับชื่อว่า วัดมวยต่อ
เอิ่มมมม นะ มึงก็คิดได้นะ ฮ่าๆๆ
เอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่ใช่อย่างที่ผมคิดแหละครับ เพราะไอ้คำว่า "ม่วยต่อ" เป็นภาษาไทยใหญ่ที่คนทั่วไปเรียกเพี้ยนไปจากสำเนียงที่แท้จริงซึ่งจะต้องออกเสียงว่า "หม่วยต่อ" ซึ่งก็หมายความว่า พระธาตุวัดหม่วยต่อ มันคือวัดพระธาตุในภาษาไทยกลางนั้นเอง
วัดม่วยต่อ แต่ก่อนเคยเป็นวัดร้างมานานก่อน พ.ศ.2397 จากคำบอกเล่าของผู้มีอายุทราบว่า มีแต่ซากอิฐของพระธาตุและวิหารเท่านั้น พอมีพระภิกษุรูปหนึ่งได้เดินธุดงค์ภายหลังออกพรรษามาถึงวัดแห่งนี้จึงได้เข้าพักอาศัย ต่อมามีศรัทธาญาติโยมใกล้เคียงเสื่อมใสใคร่จะให้พระคุณเจ้าอยู่ประจำ ณ หมู่บ้านนั้น จึงมีศรัทธาผู้เข้มแข็งคนหนึ่งซื่อ "ลุงจองจาย" พร้อมด้วยครอบครัวชักชวนคนอื่น ๆ สร้างศาลาการเปรียญแบบไทยใหญ่ขึ้น เป็นศาลาชั่วคราวมุงด้วยใบตองพลวง ทั้งนี้ก็เพื่อให้พระธุดงค์ได้มีสถานที่บำเพ็ญสมณะธรรม และเพื่อให้ศรัทธาญาติโยมมีโอกาสได้ฟังเทศน์ทำบุญเป็นประจำ เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงได้ถวายแด่พระธุดงส์พร้อมกับตั้งชื่อว่า "วัดหม่วยต่อ" และนิมนต์พระธุดงค์เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก แถมวัดนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นวัดแห่งแรกในอำเภอขุนยวมอีกด้วย
ในระหว่างนี้ ทางวัดได้รับการบูรณะปฎิสังขรณ์เรื่อยมาทุกปีจนถึง พ.ศ.2451 มีศรัทธาลุงจองหลู่และครอบครัว พร้อมด้วยศรัทธาทั้งหลาย มีจิตศรัทธาสร้างศาลาการเปรียญแบบไทยใหญ่เป็นอาคารถาวรขึ้นหลังหนึ่งแทนศาลาหลังเก่าซึ่งชำรุดทรุดโทรมมาก พร้อมกับสร้างพระประธานแบบก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ขึ้นเป็นองค์แรก ต่อมาอีกหนึ่งปีพระโพธิญาเจ้าอาวาสองค์ที่ 2 พร้อมด้วยลูกศิษย์ลูกหาได้สร้างพระประธานองค์ที่สอง
ปี พ.ศ.2471 สร้างศาลาการเปรียญเพิ่ม 1 หลัง พร้อมกับสร้างหอไตรแบบไทยใหญ่ใต้ฐานเจดีย์และศาลาบำเพ็ญสมณะธรรม (สลอบอาหยุ่ง) ด้านหน้าพระธาตุเจดีย์ ไว้เป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมคนเฒ่าคนแก่อีกด้วย และถัดมาอีกปีสร้างพระประธานขึ้น 1 องค์ เป็นองค์ที่ 3 และสร้างศาลาการเปรียญเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหลัง
พ.ศ.2439 สร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้น 4 องค์ ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 3 องค์ เพราะองค์ที่ 4 ทรุดพังไม่สามารถบูรณะปฎิสังขรณ์ให้คงสภาพเดิมได้ ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างศาลาหน้าองค์พระเจดีย์ 1 หลัง เพื่อเป็นที่บำเพ็ญสมณะธรรมของพระสงฆ์และเป็นที่จำศีลภาวนาของสัตบุรุษ
ศาลาการเปรียญด้านหน้า ปัจจุบันมีลักษณะหลังคาเป็นแบบศิลป์ไทยภาคกลาง ทำให้วัดม่วยต่อเป็นถาวรสถานที่ผสมผสานศิลปะของไทยใหญ่เข้ากับศิลปะไทยกลาง ทำให้เกิดความสวยงามไปอีกแบบนึง
สิ่งที่น่าสนใจ อีกอย่างของวัด คือ เจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญ ล้อมรอบด้วยพระเจดีย์บริวารยอดประดับด้วยฉัตรโลหะ แขวนกระดิ่งโดยรอบและจอง (ปราสาท) ซึ่งสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2527 มีเสาศาลาหลังเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งใช้เป็นสถานพยาบาลทหารที่เจ็บป่วย ริมแนวรั้วด้านในมีอัฐิของทหารญี่ปุ่นผู้เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากนี้แล้ววัดม่วยต่อจัดงานประเพณีเขาวงกตทุกวันขึ้น 10 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับ เทศกาลท่องเที่ยวดอกบัวตองของอำเภอขุนยวม
ใครกำลังวางแผนมาแอ่วแม่ฮ่องสอนในตอนหน้าหนาว วัดม่วยต่อ คืออีกหนึ่งสถานที่ที่คุณห้ามพลาดครับ