ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
พฤศจิกายน 27, 2024, 09:33:13 AM
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: ประกาศ  โพสหัวข้อเดียวซ้ำๆ กัน รับสิทธิ์ โดนลบกระทู้ และโชคดีได้รับสิทธิ์แบนฟรี 90 วันครับ


จองที่พักราคาถูกทั่วประเทศโทร 053266550-2  |  ข้อมูล เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก  |  เทศกาลท่องเที่ยวทั่วไทย  |  หัวข้อ: “แพนด้าน้อย”ความหวังท่องเที่ยวเชียงใหม่ บูม 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้ « หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ลงล่าง พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: “แพนด้าน้อย”ความหวังท่องเที่ยวเชียงใหม่ บูม  (อ่าน 4695 ครั้ง)
staff
Sr. Member
****
กระทู้: 451


สวัสดีเจ้า


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: มิถุนายน 02, 2009, 08:58:07 AM »


 การปรากฏตัวอย่างชวนตะลึง! อึ้ง! ทึ่ง! ทั้งสวนสัตว์เชียงใหม่ เมื่อ จู่ๆ แพนด้าสาวหลินฮุ่ย ก็ได้คลอดลูกแพนด้าน้อยเพศเมียออกมา เมื่อวันที่ 27พ.ค.ที่ผ่านมา งานนี้หลายหน่วยงานจึงเตรียมจัดฉลองให้กับลูกแพนด้าน้อย
       
       ซึ่งมีหลายคนออกมารับลูกกับถ้วนหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน บ้างจะเจรจาขอให้แพนด้าน้อยอยู่เมืองไทยต่อเกิน 2 ปี บ้างก็หวังให้แพนด้าน้อยเข้ามาช่วยดึงนักท่องเที่ยวให้ไปเยือนเชียงใหม่ เพื่อที่เศรษฐกิจเมืองเชียงใหม่ที่ซบเซา จะได้ฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง ซึ่งความหวังที่จะให้เจ้าสัตว์ตัวน้อยเข้ามาช่วยด้านการท่องเที่ยวดูจะไม่ ใช่เรื่องเกินจริงนัก

รูปแสดง ลูกแพนด้าเมื่อแรกเกิด


* 552000006574001.JPG (35.55 KB, 400x300 - ดู 531 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2009, 08:58:41 AM โดย staff » บันทึกการเข้า
staff
Sr. Member
****
กระทู้: 451


สวัสดีเจ้า


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2009, 09:00:15 AM »


รู้จักแพนด้า
       
       แพนด้าเป็นสัตว์ที่พบในประเทศจีนเท่านั้น ทุกวันนี้โลกมีแพนด้าเหลืออยู่เพียงประมาณ 1,000 ตัวเท่านั้น และ 20 ตัว อาศัยอยู่ในสวนสัตว์นอกประเทศจีน ส่วนที่เหลืออยู่ในสวนสัตว์จีนบ้างและอยู่ในป่าบ้าง โดยเฉพาะในบริเวณจีนตอนกลางที่มีภูเขาสูง ที่ที่มันชอบอยู่คือที่ระดับความสูง 1,500-3,000 เมตร ซึ่งมีเมฆหมอกปกคลุมตลอดเวลา
       
       มันชอบกินไผ่และลำต้นไผ่เป็นอาหารประมาณวันละ 10-20 กิโลกรัม ตามปกติแพนด้าไม่ใช่สัตว์กินพืชแต่เป็นสัตว์กินเนื้อ แต่เมื่อมันเป็นสัตว์ที่เชื่องช้า การไล่ล่าจับสัตว์อื่นเป็นอาหารจึงทำได้ยาก ดังนั้น มันจึงหันมาบริโภคพืชแทน แพนด้าชอบน้ำผึ้งเหมือนสัตว์ตระกูลหมีชนิดอื่นๆ และใช้เวลาหาอาหารวันละประมาณ 14 ชั่วโมง ส่วนอีก 10 ชั่วโมงที่เหลือ เป็นเวลานอน

แพนด้าเลี้ยงลูกอย่างทะนุถนอมนานถึง 1 ปีครึ่ง ซึ่งนับว่านานกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ
       
       ผู้เชี่ยวชาญการดูแลแพนด้าได้พบว่า 70% ของแพนด้าตัวเมียที่ได้รับการเลี้ยงดูในสวนสัตว์ไม่มีระดู และ 90% ของตัวผู้ที่ถูกเลี้ยงปฏิเสธการจับคู่ และนี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่มีส่วนในการทำให้ประชากรแพนด้าลดจำนวนลง
       
       แพนด้า เป็นสัตว์ที่จัดอยู่ใน CITES appendix I ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ว่าด้วยการค้าขาย หรือแลกเปลี่ยนสัตว์และพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ของประเทศต่าง ๆ
       
       คือ สัตว์และพืชในกลุ่มนี้ "ห้ามค้าโดยเด็ดขาด เนื่องจากใกล้จะสูญพันธุ์" ยกเว้นเพื่อการศึกษา วิจัยและเพาะพันธุ์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องได้รับความยินยอมจากประเทศที่จะนำเข้าเสียก่อน ประเทศส่งออกจึงจะออกใบอนุญาตส่งออกให้ได้ โดยจะต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของชนิดพันธุ์นั้น ๆ ด้วย
       
       ซึ่งการนำแพนด้าเข้ามาในประเทศใดก็ตาม แม้ว่าจุดประสงค์ว่าต้องการนำมาเพื่อแสดง หรือเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ฯลฯ ก็ต้องมีจุดประสงค์หลักอย่างหนึ่ง คือการศึกษาวิจัยหรือขยายพันธุ์ ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถทำเรื่องย้ายออกจากประเทศถิ่นฐานได้



* pandainchiangmai.JPG (52.5 KB, 400x300 - ดู 494 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2009, 09:03:21 AM โดย staff » บันทึกการเข้า
staff
Sr. Member
****
กระทู้: 451


สวัสดีเจ้า


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2009, 09:02:52 AM »


เมื่อเมืองไทยมีแพนด้า
       
       ในปี 2527 เมื่อโลกตระหนักว่า แพนด้าเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ รัฐบาลจีนภายใต้การสนับสนุนขององค์การสหประชาชาติ จึงได้จัดตั้ง Research Center for the Protection of the Giant Panda and Its Ecosystem ขึ้น ที่ว่อหลง มณฑลเสฉวน ซึ่งต่อมาก็ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในมณฑลเสฉวนด้วยเช่นกัน จนต้องหอบหิ้วหมีแพนด้าหนีตายกันจ้าละหวั่น
       
       เมื่อวันที่12 ต.ค. 2546 รัฐบาลและชาวไทยได้ต้อนรับฑูตสันถวไมตรีช่วงช่วง - หลินฮุ่ย จากศูนย์วิจัยเพื่อการอนุรักษ์แพนด้าแห่งประเทศจีน (ว่อหลง) มณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเดินทางมาไทยตามโครงการวิจัยและจัดแสดงหมีแพนด้าในประเทศไทย
       
       แพนด้าทั้งสองได้มาพักอาศัยอยู่ที่บ้านใหม่ในสวนสัตว์เชียงใหม่ เป็นเวลา 10 ปี จวบจนปัจจุบันก็ย่างเข้าปีที่ 6 แล้ว ซึ่งในวันหนึ่งๆจะต้องต้อนรับผู้เข้าชมราว 6,000 คน ผู้ชมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต้องตีตั๋วเข้าชม ซึ่งแบ่งรอบ รอบละ 200-250 คน เพื่อเข้าชมแพนด้าทั้งสองเป็นเวลา 15 นาทีต่อรอบ

แพนด้าน้อย
       
       ตลอดเวลาที่ ช่วงช่วง-หลินฮุ่ย อาศัยอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ทางทีมสัตวแพทย์ได้มีความพยายามหลายครั้งที่ จะให้แพนด้าทั้งสองผสมพันธุ์กันตามธรรมชาติแต่ทว่าก็ต้องคว้าน้ำเหลวทุก ครั้งจนครั้งหลังสุดเมื่อวันที่18 ก.พ.2552 ที่ผ่านมาจึงได้ทำการผสมเทียมโดยทีมสัตวแพทย์ได้ทำการฉีดน้ำเชื้อของ 'ช่วงช่วง' ให้กับ 'หลินฮุ่ย' จนในที่สุดหลินฮุ่ยก็ได้ให้กำเนิดแพนด้าน้อยอย่างที่ทราบกัน
       
       ประเสริฐศักดิ์ บุญตระกูลพูลทวี หัวหน้าโครงการวิจัยและจัดแสดงหมีแพนด้าในประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้ช่วงช่วง-หลินฮุ่ย อยู่เมืองไทยเป็นปีที่6 เป็นทูตสันตวไมตรีที่ทางรัฐบาลจีนมอบให้รัฐบาลไทยเพื่อช่วยเรื่องการวิจัย เพราะในยุคน้ำแข็งมีหลักฐานปรากฏว่าแพนด้าเคยลงมาหากินถึงในประเทศไทย ปัจจุบัน แต่หลังยุคน้ำแข็งก็ไม่พบแล้ว
       
       “เราได้ข้อพิสูจน์แล้วว่าหมีแพนด้าผสมพันธุ์ได้ และอยู่ในสภาพอากาศของไทยได้ กินไผ่ไทยได้ อย่างไรก็ตามผมอยากให้เข้าใจว่า แพนด้าที่เราได้มา ไม่ใช่เพื่อผลิตผลเป็นที่ระลึก ชนิดที่ว่าคลอดที่ไทยต้องเป็นไทย เราต้องส่งคืนเจ้าของคือประเทศจีน ส่วนจะให้อยู่นานกว่า2ปีหรือไม่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้เกี่ยวข้องว่าจะ สามารถเจรจากับทางจีนได้หรือไม่”หน.ประเสริฐศักดิ์กล่าว
       
       ทั้งนี้ยังได้กล่าวต่ออีกว่า แพนด้าน้อยหากอายุประมาณ 1 เดือน ก็จะโตเท่าตุ๊กตาหมีแพนด้าตัวเล็กๆ ใครที่บอกว่ารอสักพักค่อยมาดู อาจจะไม่ได้เห็นลูกแพนด้าตอนเป็นเด็ก เพราะว่าแพนด้าโตไวมาก

รูป แม่หลินฮุ่ยคาบลูกน้อยอย่างหวงแหน


* pandachiagmai1.JPG (36.98 KB, 300x400 - ดู 566 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
staff
Sr. Member
****
กระทู้: 451


สวัสดีเจ้า


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2009, 09:05:18 AM »


หวังลูกแพนด้า ทำท่องเที่ยวเชียงใหม่บูม!
       
       ด้านเรื่องที่หลายฝ่ายคาดหวังให้แพนด้าน้อยเป็นส่วนหนึ่งในการช่วย เรื่องการท่องเที่ยวของเมืองเชียงใหม่นั้น หัวหน้าโครงการวิจัยและส่วนจัดแสดงหมีแพนด้าในประเทศไทยกล่าวว่าขณะนี้ทาง สวนสัตว์เชียงใหม่ได้สร้างโดมหิมะไว้รอบรับโดยจะ เปิดตัวครั้งแรกมิ.ย.นี้เพื่อให้ ช่วงช่วง และ หลินฮุ่ย และแพนด้าน้อยให้มีโอกาสได้สัมผัสหิมะใน บรรยากาศของกำแพงเมืองจีน จะเป็นเครื่องที่ใช้ทำหิมะ เลียนแบบธรรมชาติที่สุด
       
       นักท่องเที่ยวที่เข้ามาจะได้สัมผัสกับบรรยากาศหิมะตกเมืองจีนก็ เหมือนกับไป เที่ยวเมืองจีนบนกำแพงเมืองจีนที่ขาวโพนไปด้วยหิมะ ที่สำคัญการถ่ายภาพออกมาก็เหมือนกันไปเที่ยวที่เมืองจีนมา โดยโดมหิมะนี้มีมูลค่าถึง 60 กว่าล้านบาท
       
       ส่วนทาง ธนภัทร พงษ์ภมร ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ เปิดเผยถึงกิจกรรมหลังหลินฮุ่ยตกลูกแพนด้าตัวแรกในประเทศไทยว่า จะมีการเฉลิมฉลอง การขึ้นป้ายแสดงความยินดี และเชิญชวนประชาชนส่งการ์ดอวยพร ทั้งนี้ ระยะแรกจะเปิดให้ดูแพนด้าน้อยจากโทรทัศน์วงจรปิด จากนั้นประมาณ 3 เดือนจะได้ดูตัวจริง
       
       ด้านของ เฉลิมศักดิ์ สุระนันท์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ทั้งเรื่องการประชาสัมพันธ์ โปรโมทการท่องเที่ยว และการจัดทำมาร์เก็ตติ้ง โปรโมชั่น โดยเป็นแผนเฉพาะกิจที่นอกจากจะประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและ ต่างประเทศเดินทางมาชมความน่ารักของแพนด้าน้อยแล้ว จะต้องมีการส่งเสริมการตลาดที่เพิ่มเติมนอกจากนี้อีกด้วย

บันทึกการเข้า
staff
Sr. Member
****
กระทู้: 451


สวัสดีเจ้า


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2009, 09:07:02 AM »


สำหรับผู้ที่สนใจเข้าชมแพนด้า สวนสัตว์เชียงใหม่ เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 09.00-17.00น. อัตราค่าเข้าชมแบ่งเป็น คนไทย ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท และชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท โดยรายได้จะนำเข้ากองทุนร่วมวิจัยหมีแพนด้าไทย-จีน


ข้อมูลและภาพ ทั้งหมด จาก เว็บ www.manager.co.th

บันทึกการเข้า
staff
Sr. Member
****
กระทู้: 451


สวัสดีเจ้า


ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2009, 09:21:57 AM »


เล็งผสมพันธุ์แพนด้าครั้งหน้าปี 54 เน้นวิธีธรรมชาติ-เชื่อ “หลินฮุ่ย” มีประสบการณ์มาก ชี้นำ “ช่วงช่วง” ได้

ข้อมูลและภาพทั้งหมดจาก www.manager.co.th


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ลูกแพนด้าน้อยที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ยังมีพัฒนาการดีต่อเนื่อง และสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ท่ามกลางการประคบประหงมของทีมงานสัตวแพทย์ ขณะที่หัวหน้าโครงการวิจัยฯ เผยต้องเว้นช่วงอย่างน้อย 1 ปี ก่อนผสมพันธุ์ครั้งต่อไปอย่งเร็วในปี 2554 ซึ่งตั้งใจจะผสมด้วยวิธีการตามธรรมชาติให้เป็นผลสำเร็จ เชื่อ “หลินฮุ่ย” มีประสบการณ์มากขึ้นแล้ว น่าจะช่วย “ช่วงช่วง” ได้เยอะ


       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงใหม่ แจ้งว่า วันนี้ (1 มิ.ย.) ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ทีมงานสัตวแพทย์ยังคงทำการดูแลลูกแพนด้าที่เพิ่งเกิดจาก “หลินฮุ่ย” แพนด้าตัวเมียอย่างใกล้ชิด หลังจากที่วานนี้ (31 พ.ค.) ได้ทำการตรวจสุขภาพลูก พบว่า มีพัฒนาการดีมาก สุขภาพแข็งแรง ดิ้นและร้องเสียงดัง บริเวณใบหู รอบดวงตา ขาสี่ข้าง และปลายจมูกเริ่มมีสีดำ ขนาดตัวและน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากนี้ทีมงานสัตวแพทย์จะทำการตรวจสุขภาพลูกแพนด้าวันเว้นวัน เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนลูกแพนด้าและหลินฮุ่ย
       
       สำหรับ หลินฮุ่ย แม่แพนด้านั้น รายงานข่าวบอกว่า ได้กอดลูกแพนด้าน้อยไว้ในอ้อมอกตลอดเวลา แม้ในเวลาหลับ
       
       นายประเสริฐศักดิ์ บุญตระกูลพูนทวี หัวหน้าโครงการวิจัยและจัดแสดงหมีแพนด้าในประเทศไทย กล่าวว่า ตอนนี้ลูกแพนด้ามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี กินนมจากแม่เป็นระยะ และกินมากตามต้องการ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ตาม จากนี้จะต้องพยายามทำให้ลูกแพนด้ากินนมจากแม่ให้ครบทุกเต้า เพราะแต่ละเต้านั้นจะผลิตน้ำนมได้จำกัด โดยเจ้าหน้าที่ที่ดูแลจะช่วยนำทางลูกแพนด้าในการดูดนมแต่ละเต้า
       
       ในส่วน “หลินฮุ่ย” แม่แพนด้านั้น หลังจากที่ออกลูกแล้ว พบว่า กินอาหารน้อยลง เพราะมัวแต่ห่วงเลี้ยงลูก โดยกินแต่แอปเปิลและขนมปังไผ่ เป็นหลัก ไม่ค่อยกินไผ่ ซึ่งจริงๆ แล้วทีมสัตวแพทย์ อยากให้กินไผ่มากกว่านี้ เพราะมีความจำเป็นต่อตัวหลินฮุ่ยเอง ดังนั้น เวลานี้จึงกำลังพยายามหาไผ่ที่หลินฮุ่ยสามารถกินได้ง่าย เช่น ไผ่ลูกศร มาให้ รวมทั้งอาจแก้ไขปัญหาด้วยการเพิ่มไผ่เป็นส่วนผสมมากขึ้นในการทำขนมปังไผ่
       
       หัวหน้าโครงการวิจัยและจัดแสดงหมีแพนด้าในประเทศไทย ยังกล่าวอีกว่า การที่ลูกแพนด้าที่เกิดในประเทศไทยตัวนี้ นอกจากจะเป็นลูกแพนด้าที่เกิดขึ้นเป็นตัวแรกของปีนี้แล้ว จากบันทึกสถิติที่มีการเก็บไว้ ยังพบว่าเป็นลูกแพนด้าตัวแรกที่เกิดในเดือนพฤษภาคมด้วย ซึ่งเรื่องนี้เองทางผู้เชี่ยวชาญจีน จึงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก รวมทั้งประคบประหงมใกล้ชิดและพยายามศึกษาว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
       
       ส่วนการผสมพันธุ์แพนด้า “หลินฮุ่ย” ในครั้งต่อไปนั้น นายประเสริฐศักดิ์ กล่าวว่า คงจะต้องเว้นช่วงไปอีกอย่างน้อย 1 ปี เพื่อให้หลินฮุ่ย ได้เลี้ยงดูและอยู่กับลูกน้อยอย่างเต็มที่ ซึ่งอย่างเร็วจะทำการผสมพันธุ์แพนด้าครั้งต่อไปได้ในปี 2554 โดยการผสมพันธุ์แพนด้าในครั้งต่อไปนั้น หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการผสมเทียมไปแล้ว ทางทีมงานสัตวแพทย์จึงมีความตั้งใจว่าในครั้งต่อไปจะพยายามผสมพันธุ์ด้วย วิธีตามธรรมชาติให้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีความเป็นไปได้มากขึ้น เพราะการที่ หลินฮุ่ย มีประสบการณ์มากขึ้นจากการมีลูกในครั้งนี้ น่าจะช่วย “ช่วงช่วง” แพนด้าตัวผู้ ในการผสมพันุ์ครั้งต่อไปได้มากขึ้น
       
       รายงาน ข่าวแจ้งว่า แม้ว่าขณะนี้ลูกแพนด้าที่เกิดใหม่ตัวนี้จะยังไม่มีการตั้งชื่ออย่างเป็นทาง การ แต่ก็มีการเรียกชื่อลูกแพนด้าตัวนี้เป็นการภายในอยู่ด้วยกัน 2-3 ชื่อ เช่น “ไทซิน” ซึ่งเป็นภาษาจีน ที่หมายถึง ดวงดาวที่สวยงามของไทย หรือ “อ้อแอ้” ที่เรียกตามพฤติกรรมร้องงอแงอยู่เป็นประจำ และ “ไอ้ตัวน้อย” เป็นต้น


* pandachiangmai2.JPG (106.04 KB, 563x400 - ดู 1236 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ขึ้นบน พิมพ์ 
จองที่พักราคาถูกทั่วประเทศโทร 053266550-2  |  ข้อมูล เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก  |  เทศกาลท่องเที่ยวทั่วไทย  |  หัวข้อ: “แพนด้าน้อย”ความหวังท่องเที่ยวเชียงใหม่ บูม « หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  




Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.5 | SMF © 2006-2007, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.089 วินาที กับ 21 คำสั่ง