..  อร่อย จิ้นส้มเชียงราย  แม่ขะจาน  มีทั้ง จิ้นส้มหมู และ จิ้นส้มเนื้อ ....
 
                                  

  ..... สับปะรดนางแล อร่อย หวาน ๆๆๆๆ  ได้ใจเต็ม ๆ 

  .... แนะนำ โรงแรม ทรีบี บูติค เบด แอนด์ เบรคฟาสต์ เชียงใหม่่ เป็นที่พักเชียงใหม่ใกล้สนามบิน และเป็นโรงแรมสไตล์บูติคเชียงใหม่ สามารถนำสุนัข (น้องหมา) เข้าพัำกได้ บริการไวเลสอินเตอร์ ฟรี

สอบถามเพิ่มได้ www.tripchiangmai.com ,www.teepuck.com


       

 ..... ที่นี่เลยค่ะ  ใกล้ถนนคนเดินวันอาทิตย์
อโมร่า ท่าแพ เชียงใหม่
อิมท่าแพ เชียงใหม่
เอ็มโฮเทล เชียงใหม่
ที่พักราคาถูก ใกล้ถนนคนเดิน  สอบถามข้อมูอเพิ่มเติมได้ที่ www.tripchiangmai.com , www.teepuck.com
    

 .... น้ำตกสวยมาก บรรยากาศดี  ไปมาแล้ว ....

          สมัยก่อนโปรแกรมเที่ยวลพบุรีอยู่ที่พระปรางค์สามยอดพระราชวังพระนารายณ์ราชนิเวศน์  และศาลเจ้าพ่อพระกาฬ  ต่อมาเริ่มมีโปรแกรมชมทุ่งทานตะวันที่อำเภอพัฒนานิคม  อาจเรียกได้ว่ากลายเป็นที่เที่ยวที่ไม่ได้ตั้งใจเพราะเกษตรกรปลูกทานตะวันเป็นพืชเศรษฐกิจ  แต่เมื่อออกดอกบานสะพรั่งสุดลูกหูลูกตาทำให้เกิดวิวงดงาม  ยิ่งในฤดูหนาวอากาศแจ่มใส  แดดไม่ร้อนจัด  ทำให้คนแห่แหนไปเที่ยวกันมาก
          ต่อมาเมื่อมีการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์  เพื่อกั้นลำน้ำป่าสัก  เกิดทะเลสาบก้วงใหญ่วิวสวย  นอกจากเขื่อนแห่งนี้จะช่วยกักเก็บน้ำที่เข้ามาท่วมในกรุงเทพฯ แล้ว  ยังเกิดทิวทัศน์ที่สวยงาม สันเขื่อนดินยาวที่สุดในโลกอยู่ในอำเภอพัฒนานิคมเช่นกัน  จึงเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวที่คุ้มค่าต่อการเดินทาง
          สำหรับการรถไฟแห่งประเทศไทย  จะเปิดบริการเส้นทางรถไฟขบวนท่องเที่ยวเขื่อนป่าสักฯ  ชมทุ่งทานตะวันประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนของทุกปี  เป็นต้นไป  โปรแกรมนี้เป็นแบบไปเช้า – เย็นกลับ  ท่องเที่ยวแบบประหยัดงบประมาณ  และได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่
          เริ่มต้นโปรแกรมช่วงเช้า  รถไฟขบวนพิเศษนำเที่ยวออกจากสถานีกรุงเทพฯ  เวลา  06.40 น.  ผ่านสถานีสามเสน  บางซื่อ  บางเขน  หลักสี่  ดอนเมือง  และรังสิต  ชมวิวเมืองหลวงบนรางเหล็กคู่ขนาน  จนถึงจังหวัดสระบุรีผ่านชุมทานแก่งคอย  เวลาประมาณ  09.52 – 10.22  น.  ขบวนรถหยุดชมทิวทัศน์ทุ่งทานตะวันที่ละลานตาไปทั่วที่ราบกว้าง  จากนั้นไปเขื่อนป่าสักฯ  รถจะหยุดให้คุณได้ชมทิวทัศน์ของเขื่อนป่าสักฯ  บนสะพานรถไฟลอยน้ำประมาณ  40  นาที  สุดปลายทางที่สถานีโคกสลุง  และวิ่งกลับมาจอดที่ที่หยุดรถเขื่อนป่าสักฯอีกครั้ง  เวลา  12.16 น.  เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
ช่วงบ่าย  หลังจากกินมื้อเที่ยวแล้ว คุณมีเวลาเดินเที่ยวชมหรือนั่งรถรางไปชมวิวบนสันเขื่อน  เดินซื้อของฝาก  ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก  ส่วนใครที่อยากนั่งรถม้าเที่ยวก็มีให้เลือก  โดยมีเวลาจนถึง  14.20 น.
          จากนั้นรถไฟจะออกเดินทางกลับจากเขื่อนป่าสักฯ เวลา  14.20 น.  ใช้เวลาเดินทางประมาณ  3.35  ชั่วโมง ถึงสถานีกรุงเทพฯ  เวลาประมาณ  17.45 น.
          
         สำหรับคุณที่อยากนอนค้างแรมริมเขื่อนสักคืน  สามารถติดต่อบ้านพักนักท่องเที่ยว  หรือเช่าเต็นท์  หรือนำเต็นท์มากางเองก็ได้  แต่ต้องแจ้งกับเจ้าหน้าที่รถไฟให้เรียบร้อยว่าจะค้างคืน  และเดินทางกลับเองในวันรุ่งขึ้น  การเดินทางกลับเองคุณต้องเสียค่าตั๋วรถไฟเอง  (นั่งรถไฟสายบัวใหญ่ – แก่งคอย  และต่อจากรถแก่งคอยเข้ากรุงเทพฯ )

                           !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

      ..........................

          ริมแม่น้ำสายนี้ไม่เคยจางหายมนตร์เสน่ห์  คล้อยเลื่อนเคลื่อนไหล  รองรับลมหายใจของคืนวันมาไม่เปลี่ยนแปลง วันที่บ้านเรือนสองฝั่งแม่น้ำปิงกลายเป็นร้านรวงหลากหลาย  ผู้คนมาเพลินตาหย่อนอารมณ์เคล้าอาหารบนโต๊ะ  แม่น้ำก็ยังคงเย็นชื่นและเงียบงัน
         
          เช่นนั้นเอง  สามเสนวิลลาจึงพาครัวภาคกลางอันเก่าแก่กว่า  30  ปีจากกรุงเทพฯ  มาอยู่ในเรือนยกพื้นสีขาวเคล้าไฟอุ่น  ให้คนเชียงใหม่ได้แลกเปลี่ยนรสชาติอยู่ริมแม่น้ำสายเดิม
         
          หมูสะเต๊ะไม้โตหมักอย่างไม่หวงเครื่องเทศ  ไม่แห้งจนเสียรส  หอมแทรกถึงเนื้อใน  ราดน้ำจิ้มสูตรเฉพาะอันตกทอด  อาจาดสดใหม่  พริก  แตง  ไม่มีสีคล้ำ  เต็มคำกับออร์เดิฟร์ในจานสวย
         
           ยำสามรสแบบภาคกลางกำลังเป็นที่ติดใจคนเชียงใหม่  เชฟของสามเสนวิลลาส่งยำใหญ่ย่างมาพร้อมข้าวสวยร้อนๆ  เนื้อกุ้งสดใหม่  หวาน  แน่น  ย่างมาพอดี  เครื่องยำเป็นมหกรรมสมุนไพรอันจัดจ้าน  ปรุงให้เป็น  “กับข้าว”  มากกว่าของกินเล่น  เช่นนั้นการปล่อยให้มันกุ้งเยิ้ม ๆ  คลุกข้าว  ราดน้ำยำ  จึงดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
           
           ว่ากันว่าแกงภาคกลางโบราณไม่เคยขาดกะทิ  แกงเผ็ดเป็ดย่างของที่นี่จึงเป็นพระเอกแทบทุกโต๊ะ  ชิ้นเป็ดย่างจนหนังสุกหอม  เนื้อนุ่มอมน้ำแกงไว้อย่างเข้ม  สับปะรด  มะเขือเทศสีดา  มะเขือพวง  ใบโหระพา  ใช่แค่เครื่องประกอบ  แต่ล้วนคือความครบเครื่องที่ทำอีกมื้อผ่านไปแสนอิ่มเอม
         
            ร้านอาหารเงียบ ๆ แม่น้ำสงบนิ่งในยามโพล้เพล้  คนตรงหน้าเพียงสบดวงตาแล้วไม่ต้องพูดอะไรอีก ........  บางทีนิยามความโรแมนติกอาจชัดเจนที่สุดตรงนี้..................................................................................

        มนตร์เสน่ห์เมืองเหนืออย่างเชียงใหม่ไม่มีเสื่อมคลาย  ย่างเข้าหน้าหนาวทีไร  หลายคนเทใจให้เชียงใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ  ของเมืองไทยเกือบทุกปี


          คอลัมน์  “จับจ่ายรายทาง”  ฉบับนี้ ขอต้อนรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาเยือน  โดยพาคุณมุ่งหน้าสู่อำเภอสันกำแพง  จังหวัดเชียงใหม่  ไปชมงานหัตถกรรมลวดลายอ่อนหวาน  และสีสันสวยงามของผืนผ้าฝ้ายที่ชาวบ้านมอญสันกำแพงซึ่งมีวิถีชีวิตผูกพันกับผืนผ้ามาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย  มีความถนัดในด้านงานปักและถักลวดลายต่างๆ  ลงบนผืนผ้าที่ใช้ในชีวิติประจำวันถ่ายทอดสืบต่อกันเรื่อยมา
          จนถึงปี พ.ศ. 2540  กลุ่มอาชีพหัตถกรรมบ้านมอญสันกำแพงได้ถือกำเนิดขึ้น  โดยใช้ชื่อต้นฝ้าย  ซึ่งมีคุณนริศ  บุญสถิต  ทำหน้าที่ประธานกลุ่ม  พร้อมกับเป็นผู้ส่งเสริมการออกแบบและแปรรูปเป็นสินค้าชนิดต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้เสริมให้กับครอบครัวหลังว่างเว้นจากการทำเกษตรอันเป็นอาชีพหลัก  โดยไม่ต้องเดินทางออกไปหางานทำยังต่างถิ่น  แล้วนำมารวมกันวางขายที่โชว์รูมของกลุ่ม
          ปัจจุบันชื่อของต้นฝ้ายจึงเป็นที่รู้จักของกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างญี่ปุ่น  ฮ่องกง  และฝรั่งเศส  ที่มักจะแวะเวียนมาอุดหนุนสินค้าอย่างของใช้  ของตกแต่งบ้าน  ซึ่งแต่ละชิ้นจะถูกสร้างสรรค์ตามความถนัดของชาวบ้าน  ผลิตออกมาเป็นผ้าม่าน  ผ้าปูโต๊ะ  ปลอกหมอนอิง  ผ้ารองแก้วปักลายดอกไม้พร้อมกับถักเป็นลวดลายเล็กๆ  ตกแต่งริมผ้าเพื่อความสวยงาม  ผ้าเช็ดมือที่ทำเป็นตัวตุ๊กตาน่ารักและแบบที่ปักเป็นลวดลายดอกไม้อย่างกล้วยไม้  บานชื่น  กุหลาบ  และทานตะวันลงบนผืนผ้า
          นอกจากนี้  ยังมีที่ใส่กล่องกระดาษเช็ดหน้ารูปสัตว์นานาชนิด  เช่น  เสือ  ไก่  ลิง  ช้าง  วัว  กระต่าย  สุนัข  หมู  หมี  และแบบที่ปักลายดอกไม้ข้างกล่อง  ที่ใส่กระดาษชำระแบบม้วนมีสีสันสดใส  เสื้อผ้าสำเร็จรูปสำหรับสุภาพบุรุษและสตรี  ผ้าพันคอผืนนุ่มหลายโทนสี  พร้อมของตกแต่งบ้านน่าจับจ่ายอีกหลายชนิด  หรือถ้าชอบสินค้าที่จัดไว้เป็นชุดของขวัญ  ก็สามารถเลือกซื้อชุดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร  ชุดกระเช้า  ของขวัญ  และชุดหมอนอิง  ซึ่งพิถีพิถันในการทำบรรจุภัณฑ์อย่างประณีตสวยงาม
         
          หากมีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่  อย่าลืมแวะจับจ่ายนานาผลิตภัณฑ์จากผ้าฝ้ายฝีมือชาวบ้านมอญ สันกำแพงติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝากของที่ระลึกกันบ้างนะค่ะ...

      ในนิมมานเหมินท์ซอย  12  ความเงียบเชียบห่มคลุมห้องอาหารอุ่นอารมณ์ไว้ในแคนทารี  ฮิล  เชียงใหม่  เซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์มาตรฐานสูง  แขกลองเทิร์มใช้ห้องนอนที่นี่เป็นบ้าน  ใช่เพียงเท่านั้น  นิมมาน  บาร์  แอนด์  กริล  ยังเปิดประตูรับคนภายนอกที่เข้ามาเลือกโอกาสพิเศษบนโต๊ะอาหารกับคนพิเศษ


          นิมมาน  บาร์ฯ  เสิร์ฟเมนูครัวตะวันตกเป็นพระเอก  สเต็กแซลมอนราดซอสมัสตาร์ด  คัดชิ้นแซลมอนขนาดกำลังดี  กริลมาอย่างคนเข้าใจสเต็ก มันฝรั่งปอกเปลือกสวย  ผักโขมผัดกระเทียมเตียงข้าง  เติมหน้าด้วยซอสมัสตาร์ด  บีบมะนาวตัดรสจนกลมกล่อม  กินเคียงกับนีซัว  สลัด  ที่ใช้ผักสลัดแสนสดจากโครงการหลวง กรอบหวานทีเด็ดอยู่ที่น้ำสลัดน้ำใส  หอมน้ำมันมะกอกและชิ้นทูนาที่เคล้าคลุกจนแสนเข้ากัน  หยิบขนมปังโฮมเมดหลายชนิดตามเข้าไปด้วย  ตรงตามตำรับสลัดของเมืองนีซเมืองชายทะเลของฝรั่งเศส
          คอสเต็กคงคิดถึงหมูและเนื้อ  เช่นนั้นเอง  สเต็กหมูซอสเห็ดจึงถูกใจคนรักสเต็กหมู เนื้อ ส่วนติดโครงสุกหอมชวนกิน  ราดซอสเห็ดข้นๆ  หนุบนุ่มเห็ดชิ้นเล็ก ซึ่งก็เด็ดพอๆ กับสเต็กเนื้อซอสพริกไทย  ชิ้นเนื้อสันในหอมตามความสุกที่เลือก  ผักลวกวางเคียงนั้นใช่เพียงสิ่งประดับ  หวานน้ำผักและยังคงความกรอบแม้ผ่านการลวก
          นั่งผ่อนคลายในแสงสลัว  ทอดตามองยามบ่ายข้างนอกผ่านผนังกระจก  ล้างปากด้วยของหวานอย่างแพชชันฟรุต มูส  ชิ้นเค้กเนียนนุ่มเติมชั้นด้วยมูสละมุนลิ้น  ตัดด้วยรวเปรี้ยวของแพชชันฟรุตหรือเสาวรส ทั้งความหวาน  มัน  กลมกลืนอย่างบอกไม่ถูก
          แม้ภายในจะอาบคลุมอยู่ด้วยบรรยากาศเนี้ยบ ๆ  สง่า  ลึกลับ  แต่กระนั้นก็เถอะพนักงานที่นี่กลับมากมายด้วยความเป็นกันเองและรอยยิ้มที่เห็นได้แม้แต่ในแววตา   
          คล้ายจะบอกว่า  ภายนอกอาจจะเปลี่ยนได้  แต่ภายในนั้นยากจะเปลี่ยนแปลง………………………………………………

     ............
          สั่งสมประสบการณ์มากกว่า  25 ปี  วันนี้ ลุงไสว  ศรียา  เกษตรกรเจ้าของสวนศรียา  ปราชญ์ชาวบ้านแห่งตำบลหินตั้ง  อำเภอเมือง  จังหวัดนครนายก  ผู้จุดประกายความคิดในการปรับแต่งกิ่งก้านสาขาให้ต้นไม้ธรรมดาๆ กลายเป็นต้นไม้แฟนซีได้อย่างน่าทึ่ง  จนสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ  และกลายเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ด้านวิทยาการเกษตร  ให้กับผู้ที่สนใจ และนักท่องเที่ยวที่ผ่านเข้ามา
          ในสวนคุณลุงไสว  มีทั้งส้มโอ  มังคุด  ทุเรียน  มะม่วงและผลไม้อีกหลายชนิดอยู่บนพื้นที่ประมาณ  35  ไร่ แต่ละต้นมีการดัดแปลงสายพันธุ์ โดยการทาบกิ่งบ้าง  เสียบยอดบ้าง  ทำให้ต้นมะม่วงเขียวเสวย ออกผลเป็นมะม่วงแรด  มะม่วงอกร่อง  และมะม่วงน้ำดอกไม้  หรือจะเป็นต้นมะสัง  ที่ออกผลเป็น ส้มเช้ง  ส้มเขียวหวาน  ส้มโอ  มะกรูด  และมะนาว  ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะนอกจากผลไม้แฟนชีแล้ว  ยังมีอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของลุงไสว คือ  การสร้างสรรค์ผลงาน  “ผลไม้ขวด”  โดยนำขวดสำหรับบรรจุผลิตภัณฑ์ต่างๆ  ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้วมาสวมผลไม้หลายชนิด  อาทิ  ฝรั่ง  ชมพู่  มะม่วง  จนเกิดเป็นผลไม้ขวดที่สร้างความฮือฮาให้แด่คนที่พบเห็น
          สวนศรียาจึงเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเที่ยวนครนายก

      โรยตัวที่น้ำตกธารรัตนา................

     ..... ช่วงเช้า
           หากเมื่อคืนคุณพักค้างคืนที่เขื่อนท่าด่าน หรือ รีสอร์ทใกล้เขื่อน  เช้านี้นัดพบที่สำนักงานของสาลิกา  แอดเวนเจอร์  พ้อยท์  เวลาประมาณแปดโมงเช้า  หรือใครที่เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปรอพบกันที่ด่านตำรวจเนินหหอมได้เลย  จากสำนักงานของสาริกาฯ  ออกเดินทางด้วยรถกระบะมุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ถึงด่านตรวจเนินหอมใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง  หรือไปที่ฐานปฏิบัติการป้องกันรักษาป่าอ่างเก็บน้ำวังบอก  (แล้วแต่ทางผู้ประกอบการเป็นผู้จัด)
          เมื่อพร้อมกันที่ด่านตรวจเนินหอมแล้ว  จะมีการแนะนำอุปกรณ์ในการโรยตัว  สวมฮาร์เนส (Harnees)  ตรวจเช็คความพร้อมของเสื้อผ้า หน้าผมรวมถึงการแต่งกาย พร้อมซักซ้อมวิธีการโรยตัว การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และเทคนิคต่างๆ เมื่อพร้อมแล้วนั่งรถกระบะไปยังจุดเริ่มต้นที่น้ำตกธารรัตนา ลงรถแล้วรับถุงกันน้ำพร้อมข้าวเที่ยงและน้ำดื่ม  ซึ่งแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบถุงใบนี้ติดตัวไปด้วย  จากนั้นจะต้องเดินเท้าข้ามลำธารน้ำตกธารรัตนา  ระหว่างทางนั้นคุณจะได้ชมวิวธรรมชาติความอุดมสมบูรณ์ของป่าเขาใหญ่  ชมวิวน้ำตกธารรัตนา ละสนุกกับการเล่นสไลเดอร์ในลำธารเดินเท้าใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็จะมาถึงหน้าผาแรก  ทีมงานจะจัดเตรียมเชือกเพื่อโรยตัว คุณๆ สามารถนั่งพักชมวิวอ่างเก็บน้ำวังบอนเบื้องล่างซึ่งนั่นคือ จุดหมายของเส้นทางเดินป่า – โรยตัวในทริปนี้ที่ต้องพิชิต
          การโรยตัวผ่านหน้าผาแรกนี้มีความสูงประมาณ  70  เมตร ด้วยการโรยไต่หน้าผาชัน  90  องศา พร้อมกับมีโอเวอร์แฮงค์ในช่วงล่างก่อนถึงพื้น  ผาแรกนี้เป็นหน้าผาที่มีความสูงที่สุด โดยจะแบ่งการโรยตัวเป็น 2 ช่วง  คือช่วงแรกไต่ตามหน้าผาชัน  90 องศาจนมาถึงชะง่อนหินให้พักเหนื่อยก่อนได้  พร้อมแล้วก็โรยตัวผ่านช่วงที่ 2  ที่เป็น  โอเวอร์แฮงค์ ซึ่งจะมีแต่คุณและเชือกเพียงเส้นเดียว ไม่มีหน้าผาให้เท้าเหยียบถึงเหมือนช่วงแรก ถึงพื้นแล้วมาพักเหนื่อยกับการชมวิวน้ำตกสองพี่น้อง  เป็นน้ำตกใหญ่ความสูงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหน้าผาที่โรยตัวลงมา  ลักษณะน้ำตกเป็น  2 ชั้นไหลมาในหน้าผาเดียวกัน  น้ำกระเซ็นไหลลงแอ่งเบื้องล่างให้เล่นน้ำคลายร้อน  ผ่อนความเสียวจากการโรยตัวได้ ใครมาถึงก่อนก็จะได้เล่นน้ำนานหน่อย
          จากน้ำตกสองพี่น้อง  เดินเท้ามาอีกไม่ไกลก็ถึงน้ำตกสองสวรรค์ชั้นที่   1  ซึ่งเป็นหน้าผาสูงประมาณ  18  เมตร  แม้จะไม่สูงมากแต่ยากมากขึ้นกว่าผาแรก เพราะต้องโรยตัวลงมาตามสายน้ำตก  หน้าผานี้ต้องเปียกกันหน่อย  แต่เย็นสดชื่นจากน้ำตก ลงมาถึงพื้นแล้วใต้น้ำตกมีเพิงถ้ำเล็กๆสวยงามให้ชม  แล้วก็นั่งรอลุ้นคนอื่นๆ ที่กำลังโรยตัวตามลงมา
          เมื่อโรยตัวลงมากันครบทีมแล้ว  เป็นเวลาหยุดพักกินมื้อเที่ยง ด้วยอาหารแบบง่ายๆ เป็นข้าวเหนียวห่อใบตองพร้อมกับหมูทอด-ปลาทอดและน้ำดื่ม  ซึ่งอยู่ในถุงกันน้ำที่แบกติดหลังมาตั้งแต่เริ่มเดิน      จากนั้นพักผ่อนรอข้าวเรียงเม็ด ใครอยากเล่นน้ำก็เต็มที่

     ..... ช่วงบ่าย
          เริ่มโรยตัวต่อที่หน้าผาที่ 3 ซึ่งเป็นหน้าผาของน้ำตกสองสวรรค์ชั้นที่ 2 มีความสูงประมาณ 38 เมตร  ความชัน  90  องศา  และมีความยากเพิ่มขึ้นกว่าน้ำตกสองสวรรค์ชั้นที่ 1  เพราะต้องโรยตัวมาตามสายน้ำตกซึ่งจะไหลโหมกระแทกศรีษะแต่ปลอดภัยเพราะมีหมวกนิรภัยป้องกัน ความยากของหน้าผานี้ยังขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำตกด้วย หากมีน้ำมากก็ยิ่งยากขึ้นเป็นทวีคูณ  แต่รับรองว่าสนุกกว่าชั้นไหนๆ  เมื่อถึงด้านล่างแล้วไปพักเหนื่อยเล่นน้ำในแอ่งด้านล่างได้  นอกจากนี้บริเวณหน้าผาน้ำตกยังมีดอกไม้ป่าบานสะพรั่งออกดอกสวยงามให้ชมด้วย
          เมื่อผ่านกันมาครบทีมแล้ว  จากนี้จะเป็นเส้นทางเดินเท้าระยะทางประมาณ  1  กิโลเมตร โดยเดินเลียบมาตามลำธารที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่  ร่มรื่น  เย็นสบาย  มีพรรณไม้พื้นล่างประเภทมอส  เฟิร์น  และพรรณไม้ขนาดเล็กตามโขดหินให้ชมตลอดทาง นอกจากนี้ยังมีชั้นน้ำตกชั้นเล็กชั้นน้อยให้หยุดพักเล่นน้ำได้  ใช้เวลาเดินทางประมาณ  45  นาที จะถึงหน้าผาสุดท้ายที่น้ำตกวังบอน  ซึ่งเป็นน้ำตกที่ไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำวังบอกความสูงประมาณ  26  เมตร ความท้าทายของหน้าผาสุดท้ายคือเป็นการโรยตัวลงน้ำโดยมีเรือคายักมาจอดรออยู่แล้ว  ลักษณะหน้าผาสุดท้ายจะเป็นโอเวอร์แฮงค์ให้คุณค่อยๆ  โรยตัวลงมายังเรือคายัคเบื้องล่าง  หากวันไหนมีนักท่องเที่ยวมาพายเรือคายัคเที่ยวชมวิวน้ำตกวังบอนด้วย  ความกดดันก็จะเพิ่มขึ้น หากว่ากลัวหน้าแตกก็ต้องงัดวิชาทั้งหมดที่ใช้มาในวันนี้เอาออกมาใช้ให้เต็มที่เท้าแตะเรือก็หมายความว่าสิ้นสุดการผจญภัยรียบร้อยแล้ว
          ลงเรือคายัคแล้วสวมเสื้อชูชีพ  นั่งเรือคายัคลำละ  3 คน  ร่วมแรงร่วมใจพายกลับเข้าฝั่งยังจุดนัดพบที่ฐานปฏิบัติการป้องกันรักษาป่าอ่างวังบอน  ระยะทางประมาณ  800  เมตร ถึงท่าเรือแล้วไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว  พักกินน้ำเย็นๆ และผลไม้ตามฤดูกาล  จากนั้นนั่งรถกระบะกลับ โดยสวัสดิภาพ
           ใช้เวลาในการเดินป่า – โรยตัวที่น้ำตกธารรัตนา ประมาณ 7 ชั่วโมง.........................................................
           

       

          ปั่นสบาย  บนเกาะส่วนตัว.......
          สวัสดีค่ะ  คุณนักปั่นทุกท่าน เผลอลืมนับวันเวลาก็ย่างเข้าเทศกาลปีใหม่ไทยอีกแล้ว  อากาศที่แสนร้อนจะได้ลดองศาลงด้วยน้ำเย็นๆ ในวันสงกรานต์สักที ที่น่าดีใจอีกอย่างคือ เป็นเดือนที่ใครหลายคนรอคอยเพราะมีวันหยุดค่อนข้างยาว สามารถเลือกวางแผนเที่ยวพักผ่อนได่หลายที่ ไม่ว่าจะไกล หรือใกล้ แต่จังหวัดใหญ่ๆ  ดูจะไม่เหมาะสำหรับท่านต้องการไปพักผ่อน เสพย์ความสงบ และเติมพลังชีวิตให้กับตัวเอง เพราะผู้คนมากมายที่หลั่งไหลไปเที่ยวอาจทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย มากกว่าที่จะรู้สึกว่าคุณได้พักผ่อน
          ขออนุญาตแนะนำสถานที่ปั่นจักรยานที่แสนสงบ  และสวยงามดั่งอยู่บนเกาะส่วนตัว โดยระยะทางนั้นจะค่อนข้างสั้น  ปั่นสบาย  ไม่ต้องตากแดดร้อนของเดือนเมษายนเพื่อปั่นในตอนกลางวัน แต่คุณสามารถเลือกปั่นเพื่อสำรวจสถานที่  ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงาม พร้อมสูดอากาศอันแสนบริสุทธิ์บนเกาะแห่งนี้  โดยไม่ต้องคอยพะวงเรื่องเวลา เกาะแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองหลวง  เป็นหนึ่งในหมู่เกาะทะเลตราด  และพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 เลยทีเดียว เกาะที่กำลังเอ๋ยถึงนี้คือ  เกาะหมาก  นั้นเอง  โดยเส้นทางปั่นนั้นขอแบ่งเป็น 3 เส้นทาง 3 แบบ 3 สไตล์ เริ่มจากทิศเหนือล่องใต้  และทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตก  โดยแต่ละเส้นก็มีจุดเด่น และเสน่ห์ต่างกันออกไป
          นอกจากเกาะหมาก  จะมีหาดทรายสวย และบรรยากาศที่เงียบสงบแล้ว ที่นี่ยังมีรีสอร์ทสวย ๆ มากมายหลายระดับราคา  ให้คุณได้เลือกพักผ่อน  หนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ในช่วงเทศกาล มาปั่นจักรยานออกกำลังกายกับคนที่คุณรักในช่วงวันหยุดยาว


  ....  เส้นทางน่าเที่ยว ....

ถนนหลวงอุทัย...
          เส้นทางนี้  คุณอาจเลืกสถานีตำรวจเกาะหมากเป็นจุดเริ่มต้นก็ได้  จากนั้นปั่นขึ้นเหนือตามถนนหลวงอุทัย โดยระหว่างคุณจะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ประมาณ 20 ครัวเรือน ทุกคนยังคงใช้ชีวิตประจำวันอย่าง เรียบง่ายและสงบสุขท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ หาเลี้ยงชีพด้วยการเพาะปลูกมะพร้าว และต้นยางพารา ซึ่งมีชื่อเรียกตามชื่ออ่าวว่า หมู่บ้านตาโล่ง จากนั้นปั่นมุ่งหน้าขึ้นไปตามตำแหน่งเหนือสุดของเกาะ เรียกกันว่า อ่าวเต่าไข่ เพราะบริเวณดังกล่าวเคยเป็นที่วางไข่ของเต่ากระ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าสายพันธุ์เต่าที่พบในเมืองไทย ฤดูวางไข่ของเต่ากระจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคม  จากนั้นปั่นลงใต้ แล้วเลี้ยวซ้ายกลับทางถนนหลวงพรหมสถาพถนนมีทั้งลาดยาง และทางดินผ่านสวนมะพร้าว รวมถึงสวนยางของชาวบ้าน  ระยะทางใกล้ปั่นได้ทุกเพศ  ทุกวัย

ถนนหลวงนรา...
          เส้นทางนี้ คุณสามารถเลือกใช้สถานตำรวจเป็นจุดเริ่มต้นได้เช่นกัน โดยให้ปั่นมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ตามถนนหลวงนรา ผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยต้นมะพร้าว และต้นยางเก่าแก่ เลาะริมหาดไปจนถึงแหลมสน ซึ่งก็เต็มไปด้วยต้นสนที่ลู่ลมไปมาตลอดเส้นทาง จากบริเวณนี้คุณสามารถเห็นทิวทัศน์ของเกาะกระดาดที่มองดูคล้ายกระดาษแผ่นแบนๆ ลอบอยู่กลางทะเลจากนั้นปั่นตามเส้นทางอ้อมไปทางทิศตะวันตกผ่าน อ่าวตั๋น  อ่าวไข่ แล้วเลี้ยวซ้ายกลับ จุดเริ่มต้นทางถนนหลวงอุทัย สภาพเส้นทางนั้น ส่วนใหญ่เป็นพื้นคอนกรีต สำหรับการปั่นจักรยานตามเส้นทางนี้ คุณต้องระมัดระวังรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่วิ่งผ่านไปมาเป็นพิเศษ เนื่องจากถนนเส้นนี้เป็นถนนสายหลักของคนบนเกาะนี้

ถนนเฉลิมศักดิ์...
          เส้นทางสุดท้ายนี้  ดูยาวกว่าสองเส้นทางนี้อยู่นิดหน่อย โดยเริ่มตั้งแต่สถานีตำรวจ แล้วปั่นไปทางทิศตะวันตกตามถนนหลววงพรหม แล้วเลี้ยวซ้ายบนถนนเฉลิมศักดิ์ ผ่านไปรษณีย์ เลียบ อ่าวพระ  อ่าวลอม จนถึง แหลมตุ๊กตา จากจุดนี้คุณสามารถชมทิวทัศน์ของระยั้งในและเกาะระยั้งนอกได้อย่างชัดเจน หากผ่านมาในช่วงใกล้ค่ำ อยากแนะนำให้คุณแวะชมวิวพระอาทิตย์ตกบริเวณแหลมตุ๊กตา  เพราะถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด บนเกาะหมาก  จากนั้นปั่นบนถนนวงศ์สิริ ผ่านที่ว่าการอำเภอเกาะหมากกลับจุดเริ่มต้น สภาพเส้นทางเป็นทางลาดยาง ทางคอนกรีต และทางดิน ควรใช้ความระมัดระวังช่วงแหลมตุ๊กตาเพราะช่วงเย็นรถจะค่อนข้างเยอะ

..........................................................................            

   ยกนิ้วให้...ก๋วยจั๊บอนุสาวรีย์สามกษัตริย์
 
          ร้านกวยจั๊บขึ้นชื่อย่านอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ บ้างก็เรียกว่า  "กวยจั๊บป๋อง" ตามชื่อเจ้าของร้าน  เป็นกวยจั๊บน้ำใสที่มีน้ำซุปรสเข้มข้น หนักเครื่องทั้งหมูกรอบ  เครื่องใน และไข่ต้ม โดยเฉพาะตัวไส้หมูที่ยัดหมูสับเข้าไปเพิ่มรสชาติ
          จุดเด่นของร้านนี้อยู่ที่หมูกรอบ ที่ต้องทอดถึง 80 กิโลกรัมต่อวัน มีอีกเมนูแนะนำข้าวหน้าหมูกรอบที่เรียงแถวเต็มจาน  อิ่มละ  50 บาท
          ส่วนความอร่อยนั้น  เจ้าของร้านแย้มให้ฟังว่า  ตอนทอดหมูต้องใช้เตาถ่านเท่านั้น เพราะจะช่วยให้กลิ่นหอมและความร้อนก็ระอุทั่วถึง

...     

  ... ข้าวซอยคุณยาย ...

          ร้านข้าวซอยเก่แก่ เปิดมากว่า 14 ปีแล้ว ร้านนี้เริ่มต้นจากคุณยายอาภาที่เป็นเจ้าของสูตรความอร่อยเกิดอาการเหงาขึ้นมา  เพราะลูกหลานไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ กันหมด  จึงใช้พื้นที่บริเวณหน้าบ้านพักเปิดเป็นร้านเล็กๆ ทำข้าวซอยเนื้อ ข้าวซอยไก่ และข้าวซอยหมูขาย
          มาถึงวันนี้ข้าวซอยคุณยายดังเปรี้ยงปร้างเพราะหลายคนชอบใจรสชาติเข้มข้น  แม้คุณยายจะวางมือหน้าร้านแล้วปล่อยให้ลูกสาวออกมาทำหน้าที่ปรุงรส  แต่คุณยายก็ยังตำน้ำพริกเครื่องแกงเองทุกวัน
          แนะนำเมนูข้าวซอยไก่ และน้ำฝรั่งที่มีเฉพาะฤดูกาลหากสวนฝรั่งของคุณยายออกผลผลิตเราจะได้ชิมน้ำฝรั่งคั้นสดๆ  ดื่มแล้วได้วิตามินซีสูง

ชุมชนวัดเกต....  

          พามาซึมซับชุมชนเก่าแก่ย่านวัดเกตที่เคยรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจช่วง พ.ศ. 2317 - 2464 เพราะเป็นจุดค้าขายทางน้ำที่ใหญ่มากในเชียงใหม่มีผู้คนต่างชาติ ต่างศาสนา เข้ามาตั้งถิ่นฐานในย่านนี้ ทั้งชาวจีนที่เข้ามาค้าขาย ชาวอเมริกันเข้ามาเผยแพร่ศาสนาชาวอังกฤษเข้ามาตั้งสำนักงานทำไม้ในภาคเหนือ ชาวมุสลิมจากปากีสถาน อินเดียจีนยูนนานและชาวซิกข์
          ทว่าวันนี้ชุมชนวัดเกตยังคงหล่อหลอมความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา จึงมีวัดไทย โบสถ์คริสต์ มัสยิดอิสลามและวัดซิกข์ อีกทั้งชุมชนไดัรวมตัวกันคงสภาพบ้านเรือนเก่าแก่ที่บรรพบุรุษให้มา แม้ต้องต้านกับความเจริญทางเศรษฐกิจ
          ร้านอาหารและที่พักบางแห่งที่เปิดกิจการจึงพยายามอนุรักษ์โครงสร้างของอาคารเดิมไว้ เช่น ร้านเดอะแกลเลอรี่ที่ตัวอาคารมีอายุมากกว่า 100 ปี ให้คนรุ่นหลังได้เห็นศิลปะจีนปูนปั้นสวยงาม จากชุมชนวัดเกตเราสามารถเดินไปยังตลาดต้นลำไยได้ โดยข้ามสะพานคนเดินเล็กๆ  ที่มีชื่อว่า "สะพานจันทร์สมอนุสรณ์" เป็นสะพานที่คหบดีชาวปากีสถานชื่อโมตีราม หรือ มนตรี โกสลาภิรมย์เจ้าของร้านของผ้าเชียงใหม่สโตร์เป็นผู้สร้างเพื่อให้แก่ภรรยาชื่อจันทร์สมนั่นเอง  ต้องขอยกให้ชุมชนวัดเกตเป็นอีกหนึ่งย่านในเชียงใหม่ที่มีนักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดมาเดินเล่น หาที่พักหรือมาดินเนอร์ที่ร้านอาหารริมแม่น้ำปิง........................................................

  +  .. "อำเภอแม่แจ่มถือได้ว่าเป็นชุมชนหนึ่งที่มีการทอผ้าซิ่นตีนจกกันมากที่สุด  ผ้าทอของแม่แจ่มมีลักษณะในการทอหรือจกในลักษณะการคว่ำลาย ทำให้ลวดลายที่ได้สวยงาม ปราณีตเฉพาะแบบไม่เหมือนใคร ผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่มยังถือเป็นศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นล้านนาที่สืบทอดเป็นมรดกทางวิถีชีวิตและวัฒนธรรม"
         
           ในชุใชนทางภาคเหนือ ผ้าทอยังคงมีบทบาทสำคัญทางสังคมและวัฒนธรรม  นอกเหนือจากบทบาททางการค้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ การใช้เป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มในหลายชุมชน  ในพิธีขึ้นเฮือนใหม่ พิธีสืบชะตาหรือพิธีที่มีการใช้ขันหลวงยังคงมีการใช้ผ้าขาว - ผ้าแดงเป็นเครื่องประกอบพิธีกันอยู่  โดยเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของผีบรรพบุรุษ  ในอำเภอแม่แจ่มและในหลายชุมชนยังคงมีการใช้ผ้าขาวที่ทอด้วยมือเป็นผ้าหลองคาบ ใช้รองหรือห่อร่างของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว  และยังใช้ทำตุงสามหางและถุงขาวที่ใช้ในพิธีศพเช่นกัน มีการทอตุงเพื่อใช้ในวันขึ้นปีใหม่หรือใช้ในงานปอยหลวง  ผ้าหลายอย่างทอขึ้นเพื่อใช้เป็นผ้าดำหัวในพิธีรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์หรือปีใหม่เมือง  ผ้าห่อคัมภีร์ก็ยังคงมีการทำขึ้นทุกครั้งของงานปอยเข้าสังข์เพื่ออุทิศให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว  นอกจากนี้ยังมีผ้าซิ่นตีนจกที่เป็นผ้าไว้สวมใส่ในงานพิธีสำคัญ  บ้างใช้ใส่ในพิธีฮ้องขวัญ  หรือ  เรียกขวัญ สตรีชาวแม่แจ่มยังมีการเตรียมซิ่นตีนจกไว้นุ่งหลังจากตายเพื่อให้ดวงวิญญาณได้ไปสักการะพระเกศแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์
          การสืบทอดการทอผ้าของคนในอดีตมักจะเกิดจากแรงบันดาลใจในการทอผ้าเพื่อไว้ใช้ในครัวเรือน  การแสดงออกซึ่งวุฒิภาวะที่เหมาะสมกับการดูแลตนเองและครอบครัว รวมถึงการแสดงออกซึ่งความกตัญญูต่อบุพการีผู้มีพระคุณ แม้ว่าปัจจุบันคนรุ่นใหม่จะหันไปหาวัตถุนิยมจากสังคมภายนอกที่หลั่งไหลเข้ามากลืนกินวิถีชีวิตของคนในชนบท แทบจะเรียกได้ว่า วํฒนธรรมประเพณีเก่าแก่เช่นนี้กำลังจะหายไปจากวิถีชีวิตของพวกเขา
          อำเภอแม่แจ่มถือได้ว่าเป็นชุมชนหนึ่งที่มีการทอผ้าซิ่นตีนจกกันมากที่สุด  ผ้าทอของแม่แจ่มมีเอกลัษณ์ในการทอหรือจกในลักษณะคว่ำลาย ทำให้ลวดลายที่ได้สวยวาม ปราณีตเฉพาะแบบไม่เหมือนใคร ผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่มยังถือเป็นศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นล้านนาที่สืบทอดเป็นมรดกทางวิถีชีวิตของผู้คนที่นั่นอย่างชัดเจนที่สุด นับตั้งแต่งที่ผู้หญิงแม่แจ่มเริ่มเรียนรู้วิธีการทอผ้าอยู่เสมอที่เห็นได้ชัดเมื่อเวลามีงานบุญสำคัญต่าง ๆชาวแม่แจ่มก็จะนำผ้าตีนจกที่ทอเก็บไว้ออกมานุ่งกัน ผ้าตีนจกถือได้ว่าเป็นของสำคัญที่ลูกสะไภ้นำไปไหว้แม่สามีตอนแต่งงาน นอกจากนั้นผ้าตีนจกยังเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของผู้หญิงชาวแม่แจ่มตั้งแต่งเกิดจนตาย
          ปัจจุบันเรายังสามารถพบเห็นสตรีชาวแม่แจ่มนิยมนุ่งซิ่นตีนจกในงานบุญประเพณีต่าง ๆ อยู่เสมอ กล่าวกันว่า  สตรีชาวแม่แจ่มจะต้องทอผ้าตีนจกอย่างน้อยคนละ 1 ผืนเป็นการคงเอกลักษณ์บ่งบอกถึงวิถีชีวิตและเป็นการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป
          ปัจจุบันผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่มได้รับการประกาศจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา  ขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์อันสามารถบ่งบอกว่าสินค้าที่เกิดจากแหล่งภูมิศาสตร์นั้นเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ  ผ้าทอตีนจกที่ทอจากแหล่งอื่นจะอ้างว่าเป็นผ้าทอตีนจกจากแม่แจ่มไม่ได้ การขึ้นทะเบียนดังกล่าวเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคหรือผู้ใช้ให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพและรู้แหล่งผลิตอย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังเป็นการคุ้มครองผู้ผลิต  โดยผู้ผลิตที่มิได้อยู่ในแหล่งภูมิศาสตร์นั้นจะแอบอ้างหรือแสวงหาผลประโยชน์จากชื่อเสียงของสินค้าไม่ได้
          การทอผ้าซิ่นตีนจกของชาวแม่แจ่ม  ยังคงมีการสืบทอดกันมาจนถึงสมัยปัจจุบัน  เราจะพบเห็นการทอผ้าตีนจกมากมายในหลายหมู่บ้าน ผ้าตีนจกโบราณที่ในอำเภอแม่แจ่มบางผืนมีอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งส่วนใหญ่นิยมทอด้วยไหม  ปัจจุบันยังมีเหลือให้ชมและศึกษาอยู่ในเขตตำบลท่าผา , ตำบลช่างเคิ่ง  ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีการทอผ้าตีนจก
          สำหรับท่านที่เดินทางไปยังอำเภอแม่แจ่มนอกจากจะพบเห็นวิถีชีวิตการทอผ้าของชาวบ้านแล้ว  ที่อำเภอแม่แจ่มยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่า  เช่น ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังวัดป่าแดด  โบสถ์กลางวัดที่วัดพุทธเอ้น  พระพุทธรูปโบราณพระเจ้าตนหลวง  ตลอดจนถึงการศึกษาวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชนเผ่า โดยเฉพาะชาวลัวะ ซึ่งถือเป็นกลุ่มชนดั้งเดิมของที่นี่ มีการดำรงชีวิตสืบทอดลูกหลานมาหลายร้อยปี
...

   ขอขอบคุณ   : คุณจักรพงษ์  คำบุญเรือง
    หนังสือพิมพ์  : เชียงใหม่นิวส์ (รายวัน) ฉบับวันที่  27 กุมภาพันธ์  2556

         

   .. ช่วงเช้า  เดินทางไปวัดพระธาตุลำปางหลวงสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกที่คุณไม่ควรพลาดชมเมื่อมาเยือนเมืองลำปาง  เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง ศิลปะล้านนาชั้นครู จุดเด่นน่าชมอยู่ที่พระธาตุลำปางหลวงสีทองเหลืองอร่ามไปทั้งองค์  วิหารหลวงสถาปัตยกรรมแบบล้านนาภายในเป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง  พุทธลักษณะงดงามตามแบบเชียงแสนผสมสุโขทัย และภาพเขียนสีโบราณบนไม้คอสอง  เล่าเรื่องทศชาติชาดก  พุทธประวัติ และรามเกียรติ์ จากนั้นเดินทางไปวัดไหล่หิน ที่มีวิหารฝีมือช่างชาวเชียงตุงให้ได้ชม  และวัดพระธาตุจอมปิงที่อยู่ไม่ไกลกัน  เพื่อชมความมหัศจรรย์ของเงาพระธาตุกลับหัว  ซึ่งเกิดจากลำแสงที่ผ่านรูเล็กบนหน้าต่างของโบสถ์  แล้วเกิดการหักเหแยกเป็นสีตามธรรมชาติก่อนตกลงบนผืนผ้าสีขาว

   .. ช่วงบ่าย  เดินทางมาเที่ยวชมบ้านเสานัก  บ้านที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง มีเสานับร้อยต้นภายในแบ่งเป็นห้องต่าง ๆ  จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณ โดยเฉพาะภาพเก่าของคนในตระกูลที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตได้เป็นอย่างดี  จากนั้นใช้บริการรถม้าชมรอบตัวเมือง  ตั้งแต่วัดศรีชุม  วัดป่าฝาง  วัดประตูป่อง  วัดพระเจ้าทันใจ  วัดพระแก้วดอนเต้า  อนุสาวรีย์ครูบาเกษม  เขมโก  และวัดเจดีย์ซาวหลัง  และมาปิดท้ายที่กาดกองต้า  ถนนคนเดินของชาวลำปางที่เปิดในวันเสาร์และอาทิตย์ตั้งแต่บ่ายสี่โมง  มีทั้งของทำมือ  และของสมัยใหม่ให้เลือกซื้อ เลือกชมตามใจชอบ ......................................................................

                                                          

    ...
ล่องแก่งแม่น้ำนครนายก  ช่วงล่าง
          นอกจากแก่งหินสามชั้นช่วงต้นของลำน้ำนครนายกแล้ว  ลำน้ำช่วงล่างก็ยงมีแก่งโขดคุ้ง และเกาะแก่ง ที่มีลักษณะเป็นโขดหิน โผล่ขึ้นมาเหนือสายน้ำในช่วงฤดูร้อน แต่จะจมลงไปใต้สายน้ำยาใฤดูฝน ให้คุณได้ออกแรงต้านพลังคลื่นได้เช่นกันแต่หลังจากพายผ่านแก่งทั้งสองแล้ว ความรุนแรงของกระแสน้ำจะเริ่มลดลง  เพื่อให้คุณได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เหนื่อยล้า พร้อมเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติสองฝั่งลำน้ำ  และเสน่งอีกอย่างหนึ่งของการล่องแก่งแม่น้ำนครนายก  คือลำน้ำที่คดเคี้ยวตลอดเส้นทางหลังจากนี้  ทำให้คุณได้มีโอกาสฝึกการพาย บังคับเรือยาง แคนู หรือคายัค ให้เลี้ยวซ้ายขวาได้อย่างสนุกสนาน จนสิ้นสุดการล่องแก่ง ที่บริเวณวังยาวรวมระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร


.........................................................                 ........................................................

   ... แม่น้ำนครนายก มีต้นน้ำมาจากภูเขาอุทยานแห่งชาติ เขาใหญ่  ไหลผ่านทุกอำเภอในจังหวัดนครนานก  ซึ่งในช่วงต้นน้ำมีชื่อเรียกว่า "คลองท่าด่าน"
          ปัจจุบันแม้น้ำนครนายกบริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชล  มีกิจกรรมล่องแก่งโดยเรือยาง  และเรือคายัค  สำหรับบริการนักท่องเที่ยว ทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัดนครนายก

ล่องแก่งแม่น้ำนครนายก ช่วงบน      
          กิจกรรมล่องเรือยาง  พายเรือแคนู และเรือคายัค ในแม่น้ำนครนายก ช่วงบนจะเริ่มต้นจากบริเวณสะพานท่าด่าน ล่องเรือมาตามลำน้ำที่ลดเลี้ยว สองฟากฝั่งร่มรื่น สวยงามเต็มไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด ซึ่งจุดเด่นของแม่น้ำช่วงนี้ คือ ตัวแก่งหินสามชั้น  ซึ่งเป็นไฮไลท์ของการล่องแก่งนางรองนครนายก เลยทีเดียว
          โดยเส้นทางก่อนจะถึงตัวแก่งสามชั้นระยะทางไม่กี่เมตร  จะถึงโค้งหักศอกก่อน นักล่องแก่งจึงควรระมัดระวังตั้งใจพายเมื่อถึงโค้งนี้  เพราะด่านต่อไปคือแก่งสามชั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นชั้นหินสามชั้น เทลาดเอียงลงมาคล้ายขั้นบันได  ระยะทางยาวประมาณ 50 เมตร กระแสน้ำจะไหลวนลงไปกระทบกับโขดหินน้อยใหญ่ที่จมอยู่ใต้น้ำ จนเกิดเป็นลูกคลื่นม้วนตัวเข้าหาหินสูงประมาณหนึ่งเมตร  เป็นแก่งที่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจไดพอสมควร  เพราะหากคุณมาช่วงฤดูฝนกระแสน้ำอาจอยู่ในระดับ 2-3 จึงนับเป็นจุดที่ท้าทายของนักพายเรือยาง คายัคและแคนู ซึ่งนิยมมาประลองกำลังความสามารถกันที่บริเวณนี้ โดยการล่องแก่งแม่น้ำนครนายก  ช่วงบนจะสิ้นสุดบริเวณหน้าวัดธิเบต รวมระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร

.......................................................             ................................................. 

  +  ..... "Welcome  to  Nakorn  Nayok"   ชนแก้วเปิดทริปอย่างเป็นทางการด้วยกาแฟสด  Coffee  Art  เครื่องดื่มสุดโปรดของชาว  จปร.  ที่แอบซ่อนความหอมหวานไว้เบื้องหลังร้านปั่นทอง  ร้านอาหารประจำถิ่น จปร. ที่แม้จะเก็บตัวอย่างมิดชิด ก็หาได้รอดพ้นสายตานักดื่มอย่างเราไม่  งานนี้นอกจากจะได้ดื่มของอร่อยในเขตปลอดภัยแล้ว ช่วงพักเที่ยงยังอาจได้ชนแก้ว (กาแฟ ) กับใครในเครื่องแบบอีกด้วยสิ.....
[/b]

          บรรยากาศใน  Coffee  Art  ก็คล้ายๆ  กันกับร้านกาแฟทั่วไปที่อยากให้ลูกค้าได้รีแลกซ์กับเครื่องดื่มนานาชนิดท่ามกลางความร่มรื่นของพรรณไม้ เราจึงสามารถใช้เวลาช่วงหนึ่งในร้านกาแฟได้อยางเพลิดเพลิน  พร้อมปลดปล่อยความง่วง  ความเหนื่อยล้าออกจากร่างกาย รับเอาความสดชื่นสดใสมาแทนที่ด้วยเมนูเครื่องดื่มสุดฮิต  ไม่ว่าจะเป็น เอสเพรสโซ่  คาปูชิโน  ลาเต้  มอคค่า  ร้อนและเย็น  Recommended  เป็นพิเศษกับกาแฟเย็น  Coffee  Art  รสชาติกลมกล่อม หอมละมุนอย่างมีสไตล์ หรือจะเลือกดื่มโกโก้  ชา  นม  ก็ช่วยกระตุ้นพลังงานในยามบ่ายได้เป็นอย่างดีแน่นอน.....คอนเฟิร์ม

          " Coffee  Art ร้านกาแฟขวัญใจชาว  จปร. ชูโรงความอร่อยด้วยเมล็ดกาแฟอะราบิก้าคั่วบด  ผสานศิลปะการเบลนด์จนได้รสชาติกลมกล่อม  หอมละมุนอย่างมีสไตล์ "

     กาดจีนฮ่อ หรือ ตลาดบ้านฮ่อ........

   ... ใครที่นึกว่ามีตลาดในแบบวิถีชนบทตั้งอยู่ย่านกลางเวียงเชียงใหม่  อย่างไนท์บาร์ซ่าแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำของจังหวัด  กาดจีนฮ่อ  คือชื่อเรียกตลาดที่ชาวเชียงใหม่รู้จักกันเป็นอย่างดี ตลาดแห่งนี้เปิดบริการทุกเช้าวันศุกร์ตั้งแต่ 05.00 - 12.00 น. โดยตั้งอยู่ที่ถนนเจริญประเทศซอย 1 หรือที่ชาวเชียงใหม่เรียกซอยนี้ว่าซอยมัสยิดบ้านฮ่อนั่นเอง ด้านหน้าของตลาดจะมีร้านขายข้าวมันไก่ ข้าวซอยมุสลิมเลื่องชื่อ สังเกตเห็นได้ไม่ยากเลย..............................................

          กาดจีนฮ่อหรือตลาดบ้านฮ่อ  ตั้งอยู่ในพื้นที่ของบ้านท่านขุนชวงเลียง วงศ์ลืเกียรติ (ต้นตระกูลมุสลิมจีนในยุคแรกของเชียงใหม่) ท่านเป็นชาวมุสลิมจีนยูนนาน กลุ่มแรกที่เข้ามาปักหลักอาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ ลานกว้างหน้าบ้านไม้สักเก่าคร่ำในเช้าวันศุกร์จะละลานตาไปด้วยข้าวของนานาชนิด ตลาดแห่งนี้จะคึกคักตั้งแต่เช้าสินค้าแปลกตามีมากมายของวางขายแบกะดิน บ้างก็วางบนแผงขายของ กาดจีนฮ่อไม่ได้ใหญ่โตแต่ก็อัดแน่นไปด้วยของกินของใช้ ทันทีที่เดินผ่านประตูเข้ามาสู่ภายในตลาด จะเจอะเจอกับรถเข็นขายซามูซา กะหรี่ปั๊บอินเดียที่ไดรับรางวัลชนะเลิศในการประกวดอาหารฮาลาล ข้าวกล้องนานาชนิดก็มีเรียงรายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นข้าวหอมนิล ข้าวดอยคัดพิเศษ ข้าวกล้องหอมมะลิแดง ฯลฯ  ข้างใหม่เหล่านี้จะหอมนุ่ม เคี้ยวมัน รับรองว่าแค่กินข้าวหอมใหม่อย่างเดียวก็อร่อยแล้ว  ส่วนราคาใกล้เคียงกับข้าวถุงตามห้างสรรพมินค้า  แต่ที่เหนือกว่าคือความสดใหม่ที่ข้าวถุงเหล่านั้นไม่มีให้คุณ
          อาหารการกินของกาดจีนฮ่อแห่งนี้แปลกตาไม่เหมือนใคร ใครชอบไก่ดำตุ๋นยาจีนที่นี่เขามีให้เลือกทั้งไก่ดำเป็นร้องกะต๊อกกะต๊ากอยู่ในสุ่ม หรือจะเป็นแบบที่ชำแหละแล้วก็มี  รถด่วน(หนอนไม้ไผ่) ที่คนขายบอกว่าใกล้จะหมดฤดูแล้วถูกบรรจุอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ก็มี พืชผักสดๆ มีหลากหลายทั้งผักพื้นบ้านและผักเมืองหนาว ส่วนที่เห็นแล้วนึกถึงความหลังเมนูเด็ด ก็หัวเผือกนี่ละมีให้เห็นหลายร้านเชียว ชาวจีนเขาจะเอาหัวเผือกไปต้มทำเป็นน้ำซุป สำหรับชาวจีนแต้จิ๋วเตี่ยของฉันก็เคยทำน้ำซุปเผือกให้กินสูตรแต้จิ๋ว  ซึ่งเขาจะนำปลาช่อนมาทอดกรอบจากนั้นจะนำเผือกที่ร่วยซุยลงไปต้มกับปลาช่อนทอด ใส่เกลือ เหยาะซีอิ๊วขาว ชูรสนิดหน่อยเคี่ยวจนข้นกินกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยอย่างบอกใครเชียว
          ส่วนสินค้าที่มีวางขายจนละลานตามากที่สุดในตลาด ก็น่าจะเป็นพวกผักกาดดองและเต้าหู้ยี้ เครื่องปรุงรสที่คนจีนเขานิยม ผักกาดดองมีทั้งแบบเปรี้ยว แบบหวานเป็นเครื่องเคียงในข้าวซอย ข้าวต้ม  ประมาณกิมจิของเกาหลีนั่นเอง  เช่นกันกับเต้าหู้ยี้  เห็นแม่ค้าโฆษณาว่ามีทั้งแบบทำเองกับส่งมาจากเมืองจีน ส่วนที่เตะตามากที่สุดก็เป็นเนื้อ  ไส้กรอกน้ำค้างของกินหายากที่จะได้กินกันปีละครั้งห้อยขายกันอยู่หลายร้าน   เนื้อและไส้กรอกน้ำค้างเหล่านี้ใช้วิธีตากน้ำค้างตอนกลางคืนแล้วตากในร่มไม่ให้โดนแดด เป็นสูตรเฉพาะของชาวจีนยูนนาน ฉันไปกินมาหลายที่ก็ยอมรับว่าอร่อยทุกที่จริงๆ  ใครชอบอาหารสไตย์เนื้อแห้ง  ไม่ควรพลาด  ........
          อีกหนึ่งประเภทสินค้าที่พบเห็นมาก ก็คือเครื่องประทินโฉมจากประเทศพม่า อย่างจำพวกทานาคา ก็มีให้เลือกหลายแบบจริงๆ เดินไปเกือบจะออกด้วนหลังตลอด ฉันเห็นแผงขายสมุนไพรและเครื่องเทศนานาชนิด มีทั้งผงกะหรี่ ขมิ้นชัน ผงแกงฮังเล ราก ใบ ดอก แก่นไม้สมุนไพรนานาชนิด ที่มีทั้งแท่ง  หรือมาเป็นสูตรยาสมุนไพรบรรจุใส่ถุงพร้อมให้นำไปต้ม ใครที่ชอบบริโภคยาสมุนไพรเห็นแผงนี้  รับรองเพลินค่ะ
          กาดจีนฮ่อหรือตลาดบ้านฮ่อ เป็นตลาดวิถีชนบทที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเป็นตลาดค้าขายที่ทำให้คุณได้ย้อนรำลึกวันเวลาเก่าๆ  ว่าวิถีชนบทดั้งเดิมเขาค้าขายกันอย่างไร ได้พบและชิมของแปลกที่แตกต่างไปจากชีวิตคนเมือง และได้มีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวจีนยูนนาน รวมทั้งวิถีชีวิตโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินของเขาเป็นอย่างไร  เรื่องราวน่าสนใจเหล่านี้ ทำให้โลกของเรากว้างกว่าที่เคยเป็นมากทีเดียว

          เพียงแค่เปิดตาแล้วมองหาโอกาสท่องเที่ยวเพื่อเก็บเกี่ยวเรื่องราวรายทาง แล้วคุณจะพบว่ายังคงมีอีกหลายเรื่องราวหลากความน่าสนใจ รอให้คุณค้นหาอยู่ไม่ไกล  เพียงแค่ก้าวเดินไปเท่านั้นเอง.....................................


                         ..............................     .............................   

.. ประเทศไทยมีประเพณีที่สืบทอดศรัทธาในพระพุทธศาสนาต่อเนื่องจากอดีตกาลโพ้นมาจนถึงทุกวันนี้หลายประเพณี  หนึ่งในนั้นก็คือประเพณณีลอยกระทง  ในคืนเพ็ญ เดือน 12 ตามคติความเชื่อว่าเพ่อเป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคา   รวมทั้งเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้หลุดพ้นไป

          สำหรับที่จังหวัดสุโขทัย มีการจัดงานเทศกาลยิ่งใหญ่สืบต่อกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2520 โดยมีการเผาเทียน เล่นไฟ ตามแบบอย่างที่กระทำกันมาในสมัยสุโขทัย  ผู้ริเริ่มจัดงานคือนายนิคม  มุสิกคามะ  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย มีหน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมจัด คือ จังหวัดสุโขทัย กรมศิลปากร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
          ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จังหวัดสุโขทัย จัดขึ้นในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ภาคกลางวันจะมีขบวนแห่นางนพมาศ และการออกร้านต่างๆ  ครั้นถึงเวลากลางคืนจะมีการจุดประทีปโคมไฟตามโบราณสถาน 3 วัน 3 คืน  สำหรับการเผาเทียนแบบโบราณ คือการจุดตะคัน เผาเทียน บูชาพระรัตนตรัย แล้วนำไปวางบนฐานหรือระเบียงโบสถ์  วิหาร  พระเจดีย์  ทำให้ค่ำคืนเพ็ญนั้น รอบบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยสว่างระยิบระยับด้วยแสงไฟนับร้อยนับพันดวง ส่วนในท้องน้ำและตระพังต่างๆ  ก็วิบวับด้วยแสงเทียนจากกระทงที่ถูกปล่อยลงไป เป็นภาพงดงามมหัศจรรย์ที่สร้างความประทับใจให้ผู้เข้าร่วมงานไม่รู้ลืม......................................................
 


  การเดินทาง
          จากตัวเมืองสุโขทัย ใช้ทางหลวงหมายเลข 12 (สุโขทัย-ตาก)  ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12 กิโลเมตร จนกระทั่งเข้าเขตเมืองเก่า ซึ่งเป็นพื้นที่ของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

  ติดต่อสอบถาม
          อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองฯ  จังหวัดสุโขทัย  64210  โทรศัพท์  055-697310
          ททท. สำนักงานสุโขทัย  เลขที่ 130  ถนนจรดวิถีถ่อง  ตำบลธานี  อำเภอเมืองฯ  จังหวัดสุโขทัย  64210  โทรศัพท์  055-616228-9   



  .........................     .............................     ............................   

  .. ไม่มีใครไม่ตะลึงเมื่อได้ยลความงดงามวิจิตรของพระวิหารสีขาวสะอาดสะอ้านของวัดร่องขุ่น ซึ่งประดับด้วยกระจกสีเงินแวววาว อันเป็นผลงานสุดอลังการอีชั้นหนึ่งของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ กล่าวกันว่า นี่คือ "งานสร้างศิลป์เพื่อแผ่นดิน" ที่อาจารย์เฉลิมชัยทำเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไทย

          เฉพาะงานสถาปัตยกรรมของพระวิหารที่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางพื้นที่โปร่งโล่ง ตกแต่งด้วยงานปูนปั้นพลิ้วไหวราวกับการตวัดพู่กันผ่านผืนผ้าใบอย่างชำนิชำนาญ ก็นับเป็นงานพุทธศิลป์ที่สะกดสายตาทุกผู้ทุกคนที่พบเห็น แล้วยังมีงานศิลป์ส่วนอื่นที่ตั้งอยู่บนพิ้นที่กว่า 9 ไร่ ชวนให้ตะลึงในความมหัศจรรย์อย่างไม่รู้จบอีกมากมาย
          ภายในพื้นที่ทั้งหมดของวัดร่องขุ่นจัดวางทัศน์อย่างงดงาม โดยแบ่งพื้นที่เป็น 3 เขต คือ เขตพุทธาวาส มีเสานางเรียงตั้งโปร่งๆ  บอกเขตแดน มีพระอุโบสถ  หอพระธาตุ  และสะพานวุขาวดีข้ามน้ำไปสู่พระวิหาร เขตสังฆาวาส ประกอบด้วยกุฏิพระและหอวิปัสสนา จุคนได้ราว 200 คน และเขตฆราวาส ซึ่งเป็นหอศิลป์ ห้องโถง ใหญ่ชั้นล่างเป็นที่จำหน่ายของที่ระลึกอันเป็นผลงานของอาจารย์เฉลิมชัย
          นับตั้งแต่เริ่มสร้างวัดร่องขุ่นเมื่อ พ.ศ. 2540 จนกระทั่งถึงวันนี้ งานพุทธศิลป์ชิ้นเอกยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เป็นความงดงาม มหัศจรรย์ ด้วยใขเปี่ยมศรัทธาในพระพุทธศาสนาซึ่งตกทอดเป็นศิลป์สมบัติของแผ่นดินสืบต่อไป.................................
 

  การเดินทาง
          ถ้าไปจากกรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 มุ่งสู่เชียงราย จนถึงสี่แยกขุนกรณ์ หลักกิโลเมตรที่ 816 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 100 เมตร ก็จะถึงวัดร่องขุ่น ซึ่งอยู่ก่อนถึงตัวเมืองเชียงราย 13 กิโลเมตร
 
  ติดต่อสอบถาม
          วัดร่องขุ่น ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงราย  57000  โทรศัพท์  053-673579  เว็บไซด์  www.วัดร่องขุ่น .com
          ททท.สำนักงานเชียงราย เลขที่ 448/16  ถนนสิงหไคล  อำเภอเมืองฯ  จังหวัดเชียงราย 57000  โทรศัพท์  053-717433-5



  ................................     ................................     ..................................   

  .. น้ำตกวชิรธารเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงามน่าเที่ยวอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนเส้นทางเดียวกับทางขึ้นดอยอินทนนท์ และเป็นน้ำตกที่มีรถยนต์เข้าถึงได้ใกล้มาก จึงนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติโดยไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงสมบุกสมบัน

          น้ำตกสูงใหญ่น่าเที่ยวนี้เป็นส่วนหนึ่งของแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ตั้งอยู่บนความสูง 750 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง อากาศเย็นสบายด้วยระดับความสูงของพื้นที่ รวมถึงไอเย็นชื้นจากผืนป่าและละอองน้ำที่กระเซ็นเป็นฝอยฟุ้งไม่ขาดสายจากตัวน้ำตก ในช่วงยามที่แสงแดดสาดส่องทำมุมเหมาะกับหน้าผาน้ำตกจะเกิดรุ้งกินน้ำสีสันสดใสประดับอยู่หน้าน้ำตก เป็นความงามอีกรูปแบบหนึ่งที่ผู้มาเยือนได้ชื่นชม
          น้ำตกวชิรธารเดิมชื่อตาดฆ้องโยงต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อตามพระนามาภิไธยของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมาร นอกจากความสวยงามด้วยสายน้ำหลั่งหลากผ่านผาสูง 70 เมตร ตลอดทั้งปี มีผืนป่าเขียวครึ้มสมบูรณ์โอบเอื้ออิงอาศัยกัน ฝั่งตรงข้ามตัวน้ำตกมีผาม่อนแก้ว หรือผาแว่นแก้ว ซึ่งเป็นหน้าผาสูงชันตั้งประจันอย่างเหมาะเจาะลงตัว  รวมกันเป็นบรรยากาศชุ่มชื่นน่าเที่ยวชม...........................


   การเดินทาง
           จากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้ทางหลวงหมายเลข 108 (เชียงใหม่-ฮอด) ไปจนถึงประมาณหลักกิโลเมตรที่ 58 แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1009 (จอมทอง-ดอยอินทนนท์)ประมาณ 20.7 กิโลเมตร ให้เลี้ยวขวาไปทางแยกสู่น้ำตกวชิรธาร ระยะทางอีกประมาณ 250 เมตร

  ติดต่อสอบถาม
          อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 50160  โทรศัพท์ 053-268550  เว็บไซด์ dnp.go.th และ doiinthanon.com
          ททท.สำนักงานเชียงใหม่ เลขที่ 105/1 ถนนเชียงใหม่-ลำพูน  ตำบลวัดเกต อำเภอเมืองฯ  จังหวัดเชียงใหม่  50000  โทรศัพท์  053-248604-7

  ...................     ....................     ........................     ........................   

  ดอยผาตั้งนับเป็นอีกหนึ่งความงดงามมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้ ณ ดินแดนแห่งเทือกดอยสูงสลับซับซ้อนตระการตา โดยปรากฏเป็นภูมิลักษณ์สะดุดตาด้วยรูปทรงของหินแท่งขนาดใหญ่ ซึ่งมีหน้าผาสูงชัน ตั้งโดดเด่นอยู่บนความสูงกว่า 2,000 เมตร ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่


          นกอจากความงดงามของหินผาที่รายล้อมด้วยพรรณไม้พุ่มเขียวชอุ่มชุ่มชื่น ดอยผาตั้งยังมีเสน่ห์จับใจผู้ชื่นชอบความเย็นสบาย  เพราะที่นี่มีสภาพอากาศหนาวเย็น ฉ่ำชื่นเม็ดฝนโปรยปรายในช่วงฤดูฝน และเมื่อถึงฤดูหนาว ไอเย็นก็จะก่อห้เกิดม่านหมอกขาวฟุ้งฟูดูน่มนวล ประกอบกับทิวัศน์ขุนเขาสูง มีผาหินตั้งโดดเด่นสะดุดตาราวกับงานประติมากรรมชิ้นเอกที่ธรรมชาติมอบไว้ให้แก่โลก ซึ่งนับว่าคุ้มค่านักสำหรับการเดินทางไปเยือน.....................................



  การเดินทาง
          จากตัวเมองเชียงใหม่ ใช้ทางหลวงหมายเลข 108 (เชียงใหม่-ฮอด)เมื่อถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 58 แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 (จอมทอง-อินทนนนท์) ใช้เส้นทางสายนี้ไปจนผ่านที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์จากนั้นจะพบทางแยกซ้ายมือ ซึ่งเป็นทางไปสู่ดอยผาตั้ง  เส้นทางสู่ดอยผาตั้งจำเป็นต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ เดินเท้า  หรือ จักรยานเสือภูเขา

   ติดต่อสอบถาม
          อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 50160  โทรศัพท์ 053-286728-9  เว็บไซด์ dnp.go.th  และ  doiinthanon.com
          ททท.สำนักงานเชียงใหม่ เลขที่ 105/1 ถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตำบลวัดเกต อำเภอเมืองฯ  จังหวัดเชียงใหม่ 50000  โทรศัพท์ 053-248604-7

   การเดินทาง
          จากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้ทางหลวงหมายเลข 107 (เชียงใหม่-ท่าตอน) ผ่านอำเภอเชียงดาว ไชยปราการ ฝาง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 1089 จนถึงอำเภอแม่อาย ไปทางเส้นทางนี้จนถึงวัดท่าตอน ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำกก

   ติดต่อสอบถาม
          วัดท่าตอน ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จัหวัดเชียงใหม่ 50280  โทรศัพท์  053-053609
          ททท.สำนักงานเชียงใหม่ เลขที่ 105/1 ถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตำบลวัดเกต อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ 50000  โทรศัพท์ 053-248604-7

  ..  วัดท่าตอนเป็นวัดประจำอำเภอ ตั้งอยู่บนไหล่เขา ซึ่งมีพื้นที่สูงชันไล่ระดับถึง 9 ชั้น แต่ละชั้นมีศาสนสถานประดิษฐานอยู่  ด้วยการที่วัดตั้งอยู่บนเขาสูงเช่นนี้ จึงเป็นการเปิดมุมมองให้เห็นทิวทัศน์งดงาม เมื่อขึ้นไปบนวัดในวันอากาศดี  นอกจากนี้จะมองเห็นสายน้ำแม่กกไหลผ่านชุมชน ยังมองได้เลยไกลไปถึงพื้นที่อำเภอแม่อายและเทือกเขาสลับซับซ้อนกว้างไกลสุดสายตา

          วัดท่าตอนเป็นวัดที่ตั้งของเจดีย์พระธาตุท่าตอน ที่ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธามาตั้งแต่โบร่ำโบราณ การค้นพบพระธาตุนั้นเกิดขึ้นเมื่อคราวที่ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาเดินทางไปบูรณะพระธาตสบฝาง ครั้นเมื่อมาถึงท่าตอน ท่านบอกให้ชาวบ้านไปค้นหาพระธาตุบนเขา ซึ่งเมื่อชาวบ้านช่วยกันถางป่าก็พบพระธาตุอยู่ในพุ่มไม้ ครูบาศรีวิชัยจึงบอกให้ชาวบ้านนิมนต์ครูบาแก้ว กาวิชัย เป็นผู้นำการบูรณะพระธาตุนี้
          นอกจากพระธาตุท่าตอน ภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ที่อันเชิญมาจากวัดพระธาตุสบฝาง เป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสน และศิลปะสมัยพ่อขุนเม็งราย ซึ่งเป็นศิลปะเฉพาะ  ไม่พบในที่อื่นใด รวมทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธนิรันดรชัย พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ปางมารวิชัย รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมยืนประทานน้ำ พระพุทธรูปอิ่มตลอดกาล ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร พระสังกัจจายน์แบกทอง ส่วนบนยอดเขาชั้นที่ 8 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุรัชมังคลาจารย์สมานฉันท์ให้ผู้เลื่อมใสศรัทธาเดินทางมาสักการะ



   ...................     .....................     ........................     ........................     ...........................   

   การเดินทาง
          จากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เส้นทางหมายเลข 108 (เชียงใหม่-จอมทอง) จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 121 (หางดง- สะเมิง) เมื่อเข้าเขตบ้านต้นเกว๋น ให้สังเกตทางเข้าวัดซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 37 เลี้ยวเข้าไปตามทางหลวงชนบทหมายเลข 3035 ประมาณ 70 เมตรจะถึงวัดต้นเกว๋น

   ติดต่อสอบถาม
          ททท.สำนักงานเชียงใหม่ เลขที่ 105/1 ถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตำบลวัดเกต อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ 50000  โทรศัพท์ 053-248604-7

..  วัดอินทราวาส หรือวัดต้นเกว๋น ตั้งอยู่ที่สี่แยกสะเมิง ตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวัดเก่าแก่ที่มีศิลปะสถาปัตยกรรมแบบล้านนาซึ่งวิจิตรงดงามสมบูรณ์อย่างที่สุด  จึงได้รับคัดเลือกจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้เป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่น เมื่อ พ.ศ. 2532 นอกจากนี้ยังปรากฏภาพวัดต้นเกว๋นในโปสเตอร์ ที่ ททท. จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย

          ชื่อ "วัดต้นเกว๋น" เป็นชื่อเดิม เป็นภาษาเหนือ หมายถึงต้นตะคบป่า ซึ่งมีอยู่มากมายในบริเวณวัด ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดอินทราวาส ตามชื่อเจ้าของอาวาสที่สร้างวัดนี้ขึ้นเมือ พ.ศ. 2399-2412 คือ อินทร์ ซึ่งมารวมกับคำว่า อาวาส
          สิ่งที่วิจิตรงดงามที่สุดภายในวัด คือวิหารไม้แบบล้านนาโบราณ ตรงส่วนของหน้าบันประดับกระจกแก้วสีเสริมความงดงามยิ่งขึ้นด้วยลวดลายแกะสลักไม้ บ่งบอกถึงฝีมือประณีตบรรจง นอกจากนี้ยังมีมณฑปจัตุรมุขแบบพื้นเมืองล้านนา เป็นศาลาที่มีมุขยื่นออกมาทั้ง 4 ด้าน ส่วนกลางของศาลามีจั่วซ้อนสองชั้น หลังคมุงกระเบื้องดินขอพบเรือนลักษณะนี้เพียงหลังเดียวเท่านั้นในภาคเหนือ สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างคือ ช่างโบราณออกแบบช่อฟ้าให้เป็นนกที่บินมาเกาะได้อย่างงดงามลงตัว
          ความสำคัญยิ่งของวัด้นเกว๋นคือ ในอดีตเคยเป็นสถานที่ที่พักกระบวนแห่พระบรมธาตุสารีริกธาตุ ซึ่งแห่จากอำเภอจอมทองไปยังนครพิงค์เชียงใหม่ โดยประเพณีนี้เป็นประเพณีของเจ้าหลวงเชียงใหม่และชาวเชียงใหม่ที่จะต้องสรงน้ำพระธาตุทุกปี....................................................

   ......................     ............................     .............................     ...................................   

   การเดินทาง
          จากตัวเมืองเชียงใหม่ เดินทางไปตามถนนเจริญเมือง จนถึงสี่แยกสันกำแพง แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 1006 (เชียงใหม่-สันกำแพง) ประมาณ 9 กิโลเมตร ถึงสี่แยกไฟแดง ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปราว 500 เมตร ก็จะถึงหมู่บ้านร่มบ่อสร้าง

   ติดต่อสอบถาม
          ททท. สำนักงานเชียงใหม่ เลขที่ 105/1 ถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตำบลวัดเกต อำเภอเมืองฯ  จังหวัดเชียงใหม่ 50000  โทรศัพท์ 053-248604-7

  เนิ่มนานมาแล้วที่บ้านบ่อสร้าง หมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางความร่มรื่นของแมกไม้และบรรยากาศชนบทในอำเภอสันกำแพงโ่ด่งดังเป็นที่รู้จักในฐานะแล่งผลิตร่มของจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยสีสันสดใส ลวดลายสวยงาม และความทนทาน ทำให้ร่มบ่อสร้างเป็นที่นิยมตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งในด้านของการนำไปใช้งานจริงและในด้านนำไปประดับตกแต่งสถานที่

          ร่มบ่อสร้างนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ทำเบ็ดเสร็จที่บ้านบ่อสร้างแห่งเดียวทว่าหลายๆ หมู่บ้านในระแวกใกล้เคียงจะผลิตชิ้นส่วนของร่มตามความถนัด เช่น บ้านออนทำโครงร่ม บ้านต้นเป่าทำกระดาษสา ฯลฯ จากนั้นชิ้นส่วนต่างๆ จะถูกนำมาประกอบเป็นตัวร่ม เขียนลาย และลงสีที่บ้านบ่อสร้าง ทำให้ใครๆ เรียกว่าร่มบ่อสร้างไปโดยปริยาย
          ดั้งเดิมนั้นชาวบ้านบ่อสร้างจะใช้ช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากการทำไร่ทำนานั่งทำร่ม เขียนลายอยู่ใต่ถุนบ้าน ก่อนจะนำไปวางเรียงรายผึ่งแดดตรงลานกลางแจ้ง เป็นที่สะดุดตาของนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมา ทว่าปัจจุบันชาวบ้านหลายคนจะร่วมกันทำงานที่ศูนย์หัตถกรรมกระดาษสาและร่ม ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางครบวงจร ทั้งการผลิต การสาธิต และจำหน่าย
          ร่มบ่อสร้างมี 3 ชนิด แบ่งตามประเภทของวัสดุที่ใช้ทำผืนร่ม ร่มผ้าแพร ร่มผ้าฝ้าย และร่มกระดาศสา ซึ่งร่มดั้งเดิมของบ่อสร้าง ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและทนทานมาจนถึงยุคปัจจุบัน เพราะชาวบ้านบ่อสร้างมีเคล็ดลับอยู่ที่การใช้แป้งเปียกผสมน้ำมะโก้ติดผ้าหรือกระดาษเข้ากับร่ม ส่วนขั้นตอนการลงสีน้ำมัน ก็จะผสมน้ำมันหรือน้ำมันตังอิ๊วเข้าไปด้วยทำให้ร่มทนแดด ทนฝน ใช้งานได้ทุกฤดูกาล..................................................

   ....................     ....................     ......................     ...........................     .......................    

   การเดินทาง
          จากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้ทางหลวงหมายเลข 108 (เชียงใหม่-ฮอด) เมื่อถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 58 แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 (จอมทอง-อินทนนท์) ใช้เส้นทางสายนี้ไปจนถึงหลักกิโลเมตรที่ 31 จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าสู่บ้านขุนกลาง แล้วเลี้ยวซ้ายตรงสามแยกสหกรณ์การเกษตรโครงการหลวงดอยอินทนนท์ เข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จะถึงสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์

   ติดต่อสอบถาม
          สถานีเกษตรหลวงดอยอินทนนท์ บ้านขุนกลาง หมู่ 7 ตำบลบ้านหลวง อำเภอจอมทอง จังหวัเชียงใหม่ 50160  โทรศัพท์ 053-286770-1  เว็บไซด์ www.royal-inthanon.com
          อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 50160 โทรศัพท์ 053-268550 เว็บไซด์ dnp.go.th  และ  doiinthanon.com
          ททท. สำนักงานเชียงใหม่ เลขที่ 105 /1 ถนนเชียงใหม่ - ลำพูน ตำบลวัดเกต อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ 50000  โทรศัพท์ 053-286728 - 9

  .. โครงการหลวงอินทนนท์เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริจัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ราษฎรมีพื้นที่ทำกินเป็นหลักแหล่ง  ทำการเกษตรอย่างยั่งยืนทดแทนการปลูกฝิ่นและทำไร่เลื่อนลอย  ซึ่งนิกจากชาวบ้านจะมีรายได้จากการเพาะปลูกแล้ว ยังมีรายได้จากการท่องเที่ยวเข้ามาเสริมอีกด้วย เพราะพื้นที่ของโครงการหลวงฯ รวมถึงบริเวณรายรอบนั้น มีความงดงามสมบูรณ์ ทั้งสภาพป่าไม้ น้ำตก สายธาร นาขั้นบันได และยังเปรียบเป็นสวรรค์ของนักดูนก ทำให้แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมาเยือนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

          โครงการหลวงอินทนนท์ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงจากระดับทะเลปานกลางประมาณ 1,300 เมตร มีสภาพอากาศเย็นสบายตลอดปี มีกิจกรรมท่องเที่ยวหลากหลายอยูในพื้นที่ย่อยของโครงการหลวงฯ  คือสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ กิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ การท่องเที่ยวเกษตรเชิงนิเวศ ชมพรรณไม้เมืองหนาว สวนกระบองเพชร สวนเฟิร์น เดินไปเที่ยวชมน้ำตกสิริภูมิ ซึ่งมีสวนย่อมงดงามด้วยไม้ดอกไม้ประดับดูนก ศึกษาวิถีชีวิตชาวไทยภูเขาเผ่าปกากะญอ ลิ้มรสอาหารสดอร่อยที่ร้านอาหารภายในสถานีฯ ซึ่งมีเมนูเด่นคืออาหารที่ปรุงจากปลาเรนโบเทราต์
          ไม่ไกลจากสำนักงานโครงการหลวงฯ กองทัพอากาศได้จัดสร้างพระมหาธาตุนภเมทนีดล เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งนอกจากความวิจิตรงดงามขององค์เจดีย์แล้วทิวทัศน์ที่มองเห็นจากบริเวณลานเจดีย์ก็เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ที่มีอยู่บนเส้นทางสายนี้.................................................

   ..................     .......................     .............................     .........................     .....................   

    การเดินทาง

          จากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เส้นทางหมายเลข 1004 ซึ่งช่วงตั้งแต่ประตูเชียงใหม่ถึงสวนสัตว์เชียงใหม่ คือถนนห้วยแก้ว และต่อเนื่องจากนี้ไปจนถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ ราชวรวิหาร คือถนนศีวิชัย ระยะทางจากเชิงดอยถึงวัดประมาณ 11 กิโลเมตร
 
  ติดต่อสอบถาม

          วัดพระธาตุดอยสุเทพ  ราชวรวิหาร  ถนนศรีวิชัย ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่  50200 โทรศัพท์ 053-295000
          ททท.สำนักงานเชียงใหม่ เลขที่ 105/1 ถนนเชียงใหม่-ลำพูน ตำบลวัดเกต อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่ 50000 โทรศัพท์  053-248604- 7

  .. เอ่ยนามจังหวัดเชียงใหม่ ไม่มีใครไม่นึกถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ ราชวรวิหาร  ศาสนสถานสำคัญในด้านประวัติศาสตร์  ด้านการเป็นศูนย์รวมจิตใจพุทธศาสนิกชน เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ และรวมถึงการเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองไทย

          วัดพระธาตุดอยสุเทพตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพ อำเภอเมืองฯ จังหวัดเชียงใหม่  ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,053 เมตร ซึ่งในอดีต นับแต่พระเจ้ากือนาทรงดำริให้สร้างวัดขึ้นเมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 19 และโปรดให้สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่พระมหาสุมนเถระอัญเชิญมาจากสุโขทัย จนถึงปี พ.ศ. 2476 ผู้ที่เดินทางขึ้นไปสักการะพระบรมธาตุที่ประดิษฐานอยู่บนยอดดอยสูง ต้องเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งเพราะต้องใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมงกับการเดินทางไต่ความสูงชัน ผ่านป่ารกทึบเพราะยังไม่มีถนนหนทางสะดวกสบายเช่นปัจจุบัน  กระทั่งถึง พ.ศ. 2477 ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้นำชาวบ้านดำเนินการสร้างถนนขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพสำเร็จในเวลาเพียง 5 เดือน 22 วัน ผู้มาเยือนเมืองเชียงใหม่และมีผู้ศรัทธาจึงเดินทางขึ้นไปสักการะพระบรมธาตุได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
          ภาพงามอันเป็นที่จดจำของวัดพระธาตุดอยสุเทพคือเจดีย์สีทองอร่ามเรื่อเรือง ศิลปะแบบเชียงแสน ฐานสูงย่อมุมระฆังทรงแปดเหลี่ยม ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุสำคัญ อันเป็นพระธาตุประจำปีเกิด ปีมะแม เจดีย์งดงามด้วยพุทธศิลป์แบบล้านนา ราบรอบองค์เจดีย์เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นเมืองเชียงใหม่ได้กระจ่างตา ในช่วงเย็นโพล้เพล้จนถึงค่ำมืด แสงระยิบระยับจากตัวเมืองที่ขยายเติบโตในหุบเขาที่ราบเบื้องล่างนั้นก็ดูพริบพราวราวกับดาวบนดินเลยทีเดียว..................................................................
 
    .................     ..................      ....................     ....................   

   ต่อกันเลย.....
         
          ส่วนทหารสังกัดนายพลต้วนซีเหวิน 15,000 คน อยู่บนดอยแม่สลองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 เพื่อใช้เป็นกันชนกับชนกลุ่มน้อย ทำให้ดอยแม่สลองในยุคแรกเป็นดินแดนลี้ลับต้องห้ามมีปัญหายาเสพติดและกองกำลังติดอาวุธมาตลอด ทางการไทยได้พยายามแก้ปัญหา โอนกองกำลังเหล่านี้มาอยู่ในความดูแลของกองบัญชาการทหารสูงสุด
          ดอยแม่สลอง หรือ "เหมย เซอ เล่อ" หมายถึง ดินแดนแห่งความสงบสุข มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ อนุสรณ์สถานชาวไทยเชื้อสายจีนอดีตทหารจีนคณะชาติ จัดแสดงประวัติศาสตร์ความเป็นมาต่างๆ เปิดทุกวันเวลา 08.00-17.00 น. ค่าเข้าชมคนไทย 30 บาท ต่างชาติ 50 บาท และในราวต้นเดือนมกราคม ดอกซากุระจะบานสะพรั่ง ชมชารสชาติดีและอาหารจีนยูนนาน นอกจากนั้นแล้วที่ดอยแม่สลองยังเป็นยอดดอยหนึ่งในเทือกเขาแดนลาว ตั้งอยู่ในเขต อำเภอแม่ฟ้าหลวง มีความสูงประมาณ 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล บนยอดดอยแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวให้ชมหลายแห่งด้วยกัน เช่น พระบรมเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรีตั้งอยู่เหนือหมู่บ้านไปตามถนนลาดยางประมาณ 4 กม. จะพบพระบรมธาตุสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2539 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จย่า ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมทรงล้านนาประยุคต์บนฐานสี่เหลี่ยมลดชั้น สูง 20 เมตร ฐานกว้างด้านละ 15 เมตร คุณสามารถชมวิวหมู่บ้านสันติคีรีได้อย่างสวยงามมด้วยความสูงกว่า 1,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล บริเวณยี้จึงเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดของดอยแม่สลอง
          นอกจากนั้นแล้วยังมีพิพิธภัณฑ์อดีตวีรชนทหารจีนคณะชาติ อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่บ้านสันติคีรี บนดอยแม่สลอง ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายโดยพิพิธภัณฑ์ถูกสร้างสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงประวัติศาสตร์ว่าที่บ้านสันติคีรีเป็นหมู่บ้านของอดีตทหารจีนคณะชาติ (ทจช.ก๊กมินตั๋ง) กองพล 93 ได้ช่วยราชการไทยต่อสู้และปราบปรามคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ดอยหลวง ดอยขาว และดอยผาหม่น จังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2524-2528 และพื้นที่เขาย่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2524 นั่นเอง
          ภายในพิพิธภัณฑ์ประกอบไปด้วย พื้นที่ 2 ส่วน คือส่วนพิพิธภัณฑ์ และส่วนร้านค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน ในส่วนแรกประกอบด้วย 3 อาคารหลักสถาปัตยกรรมแบบจีน อาคารทางซ้ายมือเป็นอาคาร "พิพิธภัณฑ์ห้องที่ 1 " อาคารตรงหน้าผู้ชมเป็น "อนุสรณ์สถานทหารจีนคณะชาติ ภาคเหนือ ประจำประเทศไทย" และอาคารทางขวามือเป็น "พิพิธภัณฑ์ห้องที่ 2 และ 3" ตั้งอยู่ที่บ้านสันติคีรี
          เนื้อหาของนิทรรศการเน้นการลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทหารจีนคณะชาติเข้าไปเกียวข้อง โดยอาศัยวันเวลาในการรบเป็นสำคัญ การจัดแสดงส่วนใหญ่อาศัยภาพถ่ายพื้นที่รบและเหตุการณ์ รวมถึงการสร้างโมเดลจำลองพื้นที่ราบที่แสดงให้เห็นเส้นทางการเดินทัพและการสู้รบ อย่างไรก็ตาม จะมีเครื่องใช้ของทหารให้เห็นอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก นอกจากนี้ คำให้การของผู้ที่อยู่ในเหตุกาณ์ยังไม่ได้มีการบันทึกหรือศึกษาไว้ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย เพราะผู้ที่ร่วมในเหตุการณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่เหลือไม่มากแล้วในปัจจุบัน
          ส่วนอาคารกลางที่เป็นอนุสรณ์สถานเป็นสถานที่ตั้งของ "ป้ายวิญญาณ" ของผู้ที่ล่วงลับในเหตุการณ์ ตั้งไปตามผนังด้านในของอาคารเป็นชั้นๆ ในแต่ละปีจะมีการจัดพิธีรำลึกถึงผู้วายชนม์ นอกจากนี้เนื้อหานิทรรศการในอาคาร 2 ยังแสดงให้เห็นถึงการสงเคราะห์ต่างๆ ของสมาคมจีนเพื่อสงเคราะผู้ประสบภัย ความช้วยเหลือดังกล่าวอยู่ภายใต้แนวคิด "ธารน้ำใจจากไต้หวัน" (Love of Motherland and the Benevolence of taiwan) ทั้งการสงเคราะห์ในรูปแบบของสิ่งของ ทุนการศึกษา
          สุสานนายพลต้วน ซี เหวิน ผู้นำทหารจีนฮ่อแห่งกองพันที่ 5 กองพล 93 เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมเยียนโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยเชื้อสายจีนนิยมขึ้นไปเคารพศพนายพลด้วน ตัวสุสานสร้างด้วยหินอ่อนทั้งหมด แท่นหินอ่อนบรรจุร่างนายพลต้วนซีเหวินอยู่ภายในศาลาเก๋งจีนขนาดใหญ่สีขาว พื้นปูหินอ่อน ด้านหลังแท่นบรรจุศพ มีภาพวาดเก่าแก่เกี่ยวกับประวัติและผลงาน ด้านหน้าเป็นลาดเนิน มีตัวอักษร "ต้วน" ภาษาจีนสีทองบนพื้นสีฟ้าสุสานแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ลูกหลานทหารจีนคณะชาติ ได้ทราบความเป็นมาความสำคัญและระลึกความดีของนายพลต้วนที่ได้ทำไว้กับประเทศไทย นายพลต้วน มีชื่อไทยว่า นายชีวัน คำลือ บริเวณที่ตั้งสุสานยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ของดอยแม่สลองได้อย่างกว้างไกล สามารถมองเห็นบ้านสันติคีรีในหุบต่ำลงไปเบื้องล่าง เป็นจุดชมทิวทัศน์ของหมู่บ้านที่ดีจุดหนึ่ง ด้านหน้ามีร้านชาสองร้านซึ่งจะเชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้ทดลองชิมชา
          พระบรมธาตุศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี คืออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่ามาเยือนของจังหวัดเชียงราย โดยตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสุดที่ระดับความสูง 1,500 เมตร เหนือหมู่บ้านสันติคีรี ห่างจากหมู่บ้าน 4 กิโลเมตรตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยมีถนนลาดยางตัดขึ้นไปยังพระบรมธาตุฯ แต่ถนนสูงชัน คดเคี้ยวมาก พระบรมธาตุฯ สร้างแล้วเสร็จเมื่อราวปีพ.ศ. 2539 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จย่า
          โดยพระบรมธาตุ ถูกสร้างขึ้นในแบบเจดีย์ล้านนาประยุกต์บนฐานสี่เหลี่ยมลดชั้น สูงประมาณ 30 เมตร ฐานกว้างด้านละประมาณ 15 เมตร ถูกประดับกระเบื้องสีเทา มีซุ้มจระนำด้านละสามซุ้ม เรือนธาตุประดับพระพุทธรูปยืนสี่ทิศ องค์ระฆังประดับแผ่นทอง แกะสลักลวดลาย ใกล้กับองค์เจดีย์เป็นวิหารแบบล้านนาประยุกต์ที่ตั้งของพระบรมธาตุฯ
          ถนนสายดอกซากุระ มีชื่อเรียกเฉพาะว่านางพญาเสือโคร่งเป็นที่ที่นายโชเฟอร์เรคคอมเมนอยากให้ท่านผู้อ่านได้ไปสัมผัสซึ่งจะบานทุกปีในฤดูหนาวคือช่วงกลางเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเห็นดอกซากุระบานอวดดอกสีชมพูสวยเต็มต้นได้ตามริมทางขึ้นดอย ซึ่งถนนสายซากุระบนดอนแม่สลอง เส้นทางเข้าสู่หมู่บ้านสันติคีรี ทั้งด้านกิ่งสะไตและบ้านอีก้อสามแยก จะปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งเรียงรายสองข้างทาง เป็นระยะทางกว่า 4 กิโลเมตรต้นนางพญาเสือโคร่งจะทิ้งใบจนหมด และผลิดอกออกดอกสีชมพูพราวไปทั้งต้นในหน้าหนาว ดูราวกับดอกซากุระของญี่ปุ่น สวยงามมาก ต้นนางพญาเสือโคร่งเหล่านี้เป็นต้นไม้พื้นถื่นบนดอนทางภาคเหนือ เป็นไม้โตเร็ว นางพญาเสือโคร่งบนดอยแม่สลองนำมาปลูกไว้ในช่วงปี พ.ศ. 2525
          อย่าลืม   หากมีเวลาว่างในช่วงธันวาคม-กุมภาพันธ์ ถ้ามีโอกาสได้มาเที่ยวเชียงรายลองแวะไปสักครั้ง แล้วท่านจะได้ภาพสวยๆ เป็นที่ระลึก

                                                    

  เส้นทางสายพญาเสือโคร่งหรือซากุระเมืองไทย พร้อมใจกันเบ่งบานทั่วทั้งดอยล้อมรอบหมู่บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นของราชาเฮโรอีน  ขุนส่า  แต่ ณ บัดนี้ สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่น้อย
          สายลมหนาวเริ่มคืบคลานเข้ามาแล้วแถวๆ ภาคเหนือของประเทษไทย  เสมือนเป็นการส่งสัญญาณเป็นนัยๆ ว่า ฤดูกาลท่องเที่ยวกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ และเหมือนเช่นทุกครั้งที่เข้าช่วงหน้าหนาวเมื่อไหร่  นายโชเฟอร์ยังคงใช้มุกเดิมๆ พาเที่ยวภาคเหนือกัน หวังว่าคงยังไม่เบื่อกันสำหรับฉบับนี้ นายโชเฟอร์จะพาทุกท่านไปสัมผัสบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยหมู่พฤกษาพันธุ์ โดยเฉพาะเส้นทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีชมพูทั่วทั้งดอย
          ณ ที่แห่งนี้แต่เดิมชื่อว่าบ้านแม่สลองนอก ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี้เป็นชุมชนผู้อพยพจากกองพล 93 ที่อพยพมาจากประเทศพม่าเข้ามาในบ้านเราตั้งแต่ปี 2504 บนดอยแม่สลองปัจจุบันเรียกว่า หมู่บ้านสันติคีรีที่นี่มีสถานที่น่าสนใจหลายแห่งให้ได้ชื่นชมกัน เช่น ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์  จะเห็นดอกนางพญาเสือโคร่ง ซึ่งเป็นซากุระพันธุ์ที่เล็กที่สุด สีชมพูอมขาว จะบานสะพรั่งตลอดแนวทางขึ้นดอยแม่สลอง เป็นพันธุ์ไม้ที่หาชมได้ยากในเมืองไทย เพราะจะเจริญเติบโตอยู่แต่เฉพาะในภูมิอากาศหนาวจัดเท่านั้น สุสานนายพลต้วน ผู้นำแห่งกองพัน 5 ซึ่งเสียชีวิตที่นี่เป็นสุสานที่สร้างด้วยหินอ่อนอยู่บนเขา จากสุสานสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลภูเขาและไม่ควรพลาดการชิมชารสชาตกลมกล่อม หอม ซึ่งจะมีอยู่หลายร้านในหมู่บ้าน และหาซื้อกลับบ้านไปเป็นของฝาก
          การเดินทาง ใช้เส้นทางเชียงราย-แม่จัน เลยจากอำเภอแม่จันไป 1 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายไป 12 กิโลเมตร ถึงศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาและซื้อหัตถกรรมชาวเขา จากนั้นเดินทางจากบ้านเย้าถึงบ้านอีก้อสามแยก ทางขวาไปหมู่บ้านเทอดไทย ส่วนแยกซ้ายไปดอยแม่สลอง ระยะทาง 18 กิโลเมตร รวมระยะทางจากเชียงราย 42 กิโลเมตร เป็นทางลาดยางตลอดสาย
          ดอยแม่สลองนั้นเคยเป็นชุมชนของอดีตทหารจีนกองพล 93 สังกัดพรรคก๊กมินตั๋งของนายเจียงไคเช็ค ทำการรบอยู่ทางตอนใต้ของจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงคั้งใหญ่ในจีนเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์นำโดย เหมาเจ๋อตุง ยึดอำนาจสำเร็จพรรก๊กมินตั๋งจึงถอยร่นไปปักหลักที่เกาะไต้หวัน กองพล 93 กลายเป็นกองกำลังพลัดถิ่น ถูกกดดันอย่างหนักจนถอยร่นเข้ามาในเขตพม่า แต่ถูกฝ่ายพม่าผลักดัน เกิดการปะทะกันหลายครั้งจนต้องถอยร่นมาจนถึงเทือกดอยตุงชายแดนไทย
          ฝ่ายพม่าได้เรียกร้องไปยังสหประชาชาติเมื่อปี พ.ศ. 2496 และมีมติให้อพยพกองกำลังพลัดถิ่นไปยังประเทศไต้หวัน แต่ทหารสังกัดนายพลหลี่เหวินฝานและนายพลต้วนซีเหวินราว 3 หมื่นคน  ทำเรื่องขอลี้ภัยในประเทศไทย เนื่องจากไม่แน่ใจในอนาคต เพราะไต้หวันเป็นเพียงเกาะเล็กๆ  รัฐบาลไทยอนุญาตโดยจัดสรรให้ทหารของนายพลหลี่เหวินฝานไปอยู่ที่ถ้ำง้อบ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

  .. วิวสวยสุด ๆ  .... น่าแวะไปเที่ยวชมจัง   

   อาหารน่าทาน.... ทุกอย่างเลยค่ะ 

   น่าไปสุด สุด เลยค่ะ....

    .. สวยงาม มากมายเลยค่ะ..   น่าไปเที่ยวจังเลย .... 

  ..  + 
      แม้จะผ่านร้อน  ผ่านหนาว และเปียกฝน  มาเป็นเวลาร่วม 6 ปี แต่ "อุทยานหลวงราชพฤกษ์  เชียงใหม่" ก็ยังคง "สดชื่น"  ส่งความสวยงามของดอกไม้ และความเขียวขจีของพืชพันธุ์ไม้นานาชนิด  ออกอวดสายตาประชาชนและนักท่องเที่ยว  ทั้งชาวไทยและเทศไม่เว้นแต่ละวัน
      ในทุก ๆ วัน อุทยานหลวงฯ พร้อมมอบสิ่งดีๆ ให้ทุกท่านที่รักธรรมชาติด้วยสวนสวยๆ  มากมาย  ทั้งสวนขององค์กรต่างๆ  สวนนานาชาติ และอีกมากมาย โดยวันนี้ทางอุทยานหลวงฯ ขอนำเสนอกับ "เรือนร่มไม้"  ที่สร้างความสดชื่นให้แก่ผู้มาเยือนตลอดทั้งวัน  ด้วยอาคารไม้ในร่ม  ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์สวนสวยแปลกตา
      ภายในอาคารพรางแสง  ดูงดงามราวกับสวรรค์แห่งพันธุ์ไม้ร่มชื้น  ที่ตื่นตากับสับปะรดสีหลากหลายชนิดพร้อมการเล่นระดับของสะพานแขวนก่อให้เกิดมิติมุมมองที่สวยแตกต่าง  พร้อมสัมผัสกับการจัดแสดงในรูปแบบของสวนประติมากรรมธรรมชาติที่ลงตัว
      นอกจาก  เรือนร่มไม้ แล้ว สวนนานาชาติ จากหลายชาติที่จัดแสดง ณ ที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่น่าไปเยือน  ซึ่งมีให้สัมผัสทั้งสวนจากประเทศในเอเชีย  สวนจากประเทศทวีปยุโรป  และสวนสไตล์แอฟริกา อาทิ  "สวนประเทศภูฏาน"  ในแนวคิด "หิมาลายันแห่งสันติภาพ"  กับการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมสไตล์ภูฏาน  ที่มีเอกลักษณ์ของงานแกะสลักหินและไม้อันประณีตสวยงาม  ประกอบด้วยสัญลักษณ์นำโชคต่างๆ  รวมถึงสัญลักษณ์ทางศาสนา  ซึ่งนำมาแกะสลักประดับบริเวณประตูและซุ้มแบบท้องถิ่น  ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวกับความหลากหลายด้านพืชสวน  ทั้งสวนไม้หอม  สวนสมุนไพร  สวนเฟิร์น และสวนไม้ดอก เป็นต้น
      "สวนประเทศมาเลเซีย"  ทีได้จำลองสภาพแวดล้อมของหมู้บ้านชาวเมเลเซียแบบท้องถิ่น  สนามแบบเปิดโล่ง สวนเกษตร  และสถาปัตยกรรมของมาเลเซียที่เรียกว่า บ้านบัมบัง  ซึ่งเป็นบ้านเก่าแก่สไตล์มาเลเซียมาจัดแสดงไว้ให้ได้ชม
      "สวนประเทศจีน" กับแนวคิดของสวนที่ว่า "ผสมผสานระหว่างธรรมชาติและการก่อสร้างของมนุษย์" เ็นการจัดสวนของจีนบนพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร  จัดสร้างตามประเพณีการสร้างสวนที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน  โดยจำลองเอาภูเขาและแม่น้ำตามธรรมชาติ  เป็นการจัดสวนที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพสวนที่สวยงามในสมัยราชวงศ์ถัง  อันเป็นยุคที่ศาสนาพุทธรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในประเทศจีน  รัฐบาลจีนจึงสร้างเก๋งจีนในยุคราชวงศ์ถังและเจดีย์ไว้ภายในสวน  เพือสื่อให้ประชาชนไทยได้ทราบว่า  ชาวไทยและชาวจีนส่วนใหญ่ต่างก็นับถือศาสนาพุทธและมีความสัมพันธ์เสมือนบ้านพี่เมืองน้องมาเป็นเวลาช้านาน  นอกจากนี้ยังมีพันธุ์ไม้และหินประดับก้อนใหญ่ที่นำมาจากประเทศจีนโดยตรง  ประดับที่บริเวณประตูทางเข้าอีกด้วย
      "สวนประเทศญี่ปุ่น"  จัดสวนอย่างพิถีพิถัน  โดยเฉพาะรั้วที่ได้มีการนำต้นไม้แห้งมามัดรวมกันเป็นมัดๆ  แล้วนำมาเรียงเท่าๆ กัน พร้อมจำลองภูเขาไฟฟูจิอันเป็นสัญลักษณ์ประจำประเทศ  ทั้งยังมีศาลาพักผ่อนใจกลางสวนริมสระน้ำให้สัมผัส
      นอกจากนี้ยังมีสวนจากอีกหลายประเทศที่น่าชม  อาทิ  สวนประเทศกัมพูชา  สวนประเทศอินเดีย  สวนประเทศอิหร่าน  สวนประเทศลาว สวนประเทศตุรกี  สวนประเทศเบลเยี่ยม  สวนประเทศเคนย่า  และสวนประเทศโมร็อคโค  เป็นต้น
      และสำหรับในห้วงเวลาของเดือนสิงหาคมศกนี้  ทาง "อุทยานหลวงฯ"  มีเทศกาลแห่งความสวยงามมานำเสนอ กับ "เทศกาลปทุมมา : ทิวลิปแห่งสยาม" Curcuma : Siam Tulip Festival  ที่จัดระหว่างวันที่ 9 - 31 สิงหาคม 2555
      การจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ทรงเจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา  และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนรู้จักและเห็นความสำคัญของ "ปทุมมา"  ที่ได้รับขนานนามว่าเป็นทิวลิปแห่งสยามและเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่
      ภายในงานมีการจัดแสดง  "ทุ่งปทุมมา"  ขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือการจัดสวนประดับด้วยปทุมมาหลากหลายสายพันธุ์  การประกวดปทุมมาสายพันธุ์ต่างๆ  การจัดเสวนาทางวิชาการ เรื่อง "ทิศทางการส่งออกหัวพันธุ์แลปทุมมาตัดดอกในตลาดโลก"  นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานต่างๆ  ทั้งภาครัฐและเอกชนมาร่วมจัดตกแต่งสวนด้วยปทุมมาและจัดนิทรรศการให้ความรู้ทางวิชาการ  รวมทั้งกิจกรรมให้ความรู้แกเยาวชนและเกษตรอีกด้วย.................................................

   ........................     ..............................   ....................................     ...............................   ........................................   

  ..  ต่อกันอีกนิด ...

ความสำคัญขององการสวนพฤกษศาสตร์
          องค์การสวนพฤกษศาสตร์ได้จัดขึ้นเพื่อให้ประเทศไทยมีสวนพฤกษศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบแท้จริง  เป็นศูนย์รวมพรรณไม้ไทยที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการด้านพืชทำหน้าที่เป็นศูนย์ศึกษา  ค้นคว้า  วิจัย  อนุรักษ์  ผลิตบุคลากรและให้บริการด้านพฤกษศาสตร์ของประเทศ  โดยเฉพาะเป็นสถารที่เผยแพร่ความสวยงาม  และคุณค่าของพรรณพฤกษชาติไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนทั่วโลก
          เป็นศูนย์รวบรวมพรรณไม้ชนิดต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศ โดยเฉพาะพรรณไม้ไทยรวมถึพรรณไม้ต่างประเทศ  มีการตรวจสอยรายชื่อที่ถูกต้อง  นำมาปลูกเป็นหมวดหมู่  มีการติดป้ายชื่อบอกถึงที่มาและประโยชน์ต่างๆ  อย่างชัดเจน
          เป็นศูนย์อนุรักษ์และขยายพรรณพืช  โดยเฉพาะไม้ประจำถิ่น  ไม้หายาก  กล้วยไม้ และพืชสมุนไพร  ตลอดจนไม้มีค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ ฯลฯ  โดยการดำเนินขยายพันธุ์ให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น  เพื่อให้คงอยู่และเพื่อศึกษาวิจัยในอนาคต
          เป็นสถาบันทางการศึกษาและวิจัยด้านพฤกษศาสตร์  ดำเนินการผลิตนักพฤกษศาสตร์ระดับสูงสาขาที่ขาดแคลนให้กับประเทศตลอดจนการพัฒนาบุคลากร  โดยดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ  อาทิ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยเกษตรศษสตร์ มหิดล นเรศวร รามคำแหง ขอนแก่น สงขลานครินทร์ และสถาบันราชภัฏ  โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น  ได้แก่  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แม่โจ้  พายัพ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง  ทำการวิจัยร่วมกับสถาบันในประเทศ  อาทิ ศูนย์พันธุ์วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ  กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ
          เป็นศูนย์รวบรวมตัวอย่างพรรณไม้แห้ง ที่เก็บจากทั่วประเทศโดยเฉพาะพันธุ์ไม้ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีการตรวจสอบรายชื่อพันธุ์ไม้ให้ชื่อถูกต้อง  และบันทึกลงในระบบคอมพิวเตอร์เป็นข้อมูลของประเทศ
          เป็นศูนย์ข้อมูลด้านพืช  ที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศและของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ประกอบด้วยศูนย์ห้องสมุดทางพฤกษศาสตร์และศูนย์รวมข้อมูลพืชระบบคอมพิวเตอร์  รวมถึงเอกสารด้านพฤกษศาสตร์และพันธุกรรมพืชอันมีขอบเขตครอบคลุมถึงชนิดพืชต่างๆ  โดยเฉพาะที่มีอยู๋ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
          เป็นสถานที่ศึกษาและพักผ่อนหย่อยใจในธรรมชาติ  ทางด้านความหลากหลายของพรรณพืชและภูมิทัศน์ตลอดจนสันทนาการ  ให้ความเพลิดเพลินและความรู้แก่ผู้เยี่ยมชมโดยเฉพาะทางด้านพืช
          เป็นแหล่งปลูกฝังเยาวชน โน้มน้าว กล่อมเกลาจิตใจ ให้ความรู้ความหวงแหนและตระหนักถึงคุณค่าทางทรัพยากรธรรมชาติด้านพืช  อันจะเป็นพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ
          พื้นที่สวนพฤกษศาสตร์ได้จัดสรรเป็นส่วนต่างๆ  สำหรับการศึกษาวิจัย อนุรักษ์และนัมทนาการพักผ่อนหย่อนใจ อาทิ  ศูนย์วิจัยและพัฒนาสง่าสรรพศรี  พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ หอพรรณไม้  ห้องสมุดพฤกษศาสตร์  เส้นทางศึกษาธรรมชาติได้แก่  เส้นทางน้ำตกแม่สาน้อย - สวนหิน - เรือนรวมกล้วยไม้ไทย  เส้นทางสวนรุกขชาติ  เส้นทางวัลยชาติ  เส้นทางพรรณไม้ประจำจังหวัด  - พืชสมุนไพรไทย  เศวตพิมาน  อาคารศูนย์สารนิเทศ  ต้อนรับและบริการแก่นักท่องเที่ยว ฯลฯ  สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้จึงเป็นแหล่งรวมความสมบูรณ์   แห่งพรรณไม้ระดับสากลสถานที่น่าภูมิใจที่คนไทยทุกคนต้องมาเยือน  สถานที่ตั้งของสวนอยู่ เพียง 27 กิโลเมตรจากตัวเมือง  ตั้งอยู่ที่อำเภอแม่ริม  จังหวัดเชียงใหม่  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที  โดยเส้นทางหลวงหมายเลข 107 และเลี้ยวเข้าสู่ถนนสายแม่ริม - สะเมิง  สวนพฤกษศาสตร์  ตั้งอยู่ที่กิโลเมตรที่  12 ด้านซ้ายมือ  เปิดบริการทุกวันไม้เว้นวันหยุดราชการ  ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.00 น.

   ...............     ........................   .........................   .......................... ..

  ...  ต่อค่ะ....

วัตถุประสงค์ในการดำเนินงาน
          วัตถุประสงค์หลักขององค์การ  ตามมาตรา 6 พ.ศ. 2535  ในราชกิจจานุเบกษาได้กำหนดวัตถุประสงค์หลักขององค์การฯ  ไว้ดังต่อไปนี้
          - รวบรวมพรรณไม้ต่างๆ  เพื่อจัดปลูกให้เป็นหมวดหมู่
          - ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมตัวอย่างพรรณไม้แห้ง  ข้อมูล  เอกสาร  สิ่งพิมพ์  เผยแพร่ และแลกเปลียนความรู้ทางการพฤกษศาสตร์กับองค์การอื่นทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร
          - ขยายพันธุ์  และอนุรัษ์พรรณไม้ของประเทศไทย
          - ศึกษา  ค้นคว้า ฝึกอบรม และวิจัยทางด้านพฤกษศาสตร์และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นจากพืช  รวมทั้งส่งเสริมและให้ความร่วมมือในกิจการดังกล่าวของส่วนราชการ  รัฐวิสาหกิจและเอกชน
          - เป็นสถานศึกษาพรรณไม้ในสภาพธรรมชาติ  ตลอดจนเป็นสถานที่สำหรับการสันทนาการ  พักผ่อนหย่อนใจ และให้ความรู้โดยเฉพาะทางด้านพฤกษศาสตร์
          - ปลูกฝังและกล่อมเกลาจิตใจ  รวมทั้งให้ความรู้แก่เยาวชน  ให้ตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ
          - นำเข้ามาในและส่งออกไปนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายซึ่งของที่เกี่ยวกับกิจการ  พฤกษศาสตร์
          - ประกอบกิจการพฤกษศาสตร์  รวมทั้งกิจการอื่นที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องหรือใกล้เคียงกับกิจการพฤกษศาสตร์

................................                                    .......................................

  ต่อค่ะ................
ที่ตั้งขององค์การสวนพฤกษศาสตร์
          ในการเริ่มจัดองค์การสวนพฤกษศาสตร์ ทางกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  และทางกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ  ได้ร่วมกันตรวจสอบพื้นที่หลายแห่งในทุกภาคของประเทศ  เพื่อสรรหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการจัดตั้ง  และพบว่าสถานที่ที่เหมาะที่สุดในการนี้คือ พื้นที่บริเวณชายเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ - ปุย  ท้องที่ตำบลโป่งแยงและแม่แรม  อำเภอแม่ริม  จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์มีห้วยนาหวาย  ห้วยพันสี่  และห้วยแม่สาน้อย  เป็นแหล่งน้ำใหญ่ไหลรวมลงสู่ห้วยแม่สา  ซึ่งเป็นลำห้วยสายใหญ่  ที่มีน้ำไหลตลอดปี
          ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นที่ราบและที่สูงสลับเป็นชั้นต่างๆ  ขึ้นไป  จนถึงระดับความสูงประมาณ 1,200 เมตร  มีภูมิกาศดี  การคมนาคมสะดวกไม่ไกลจากย่านชุมชนเหมาะแก่การที่นักเรียน  นักศึกษา  ประชาชน  และนักท่องเที่ยวจะเดินทางไปทัศนะศึกษา  โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 6,500 ไร่  พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพ้นที่ที่กรมป่าไม้ได้เริ่มจัดตั้งโครงการสวนพฤกษศาสตร์ภาคเหนือ (แม่สา)  อยู่ในความดูแลของกองบำรุง และอีกส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ปลูกป่าของโครงการจักการลุ่มน้ำแม่สา  กองต้นน้ำ  กรมป่าไม้
          การที่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  องค์การสวนพฤกษศาสตร์  จัดตั้งอยู่นอกเมืองหลวง  ถือเป็นสนองนโยบายของรัฐบาลประการหนึ่ง  ในการขยายส่วนราชการและกระจายความเจริญออกไปสู่ท้องถิ่น
          ประโยชน์สำคัญขององค์การสวนพฤกษศาสตร์ตั้งอยู่ในสถานที่ดังกล่าวก็คือ  มีพื้นที่กว้างขวาง  และการมีทรัพยากรพืชที่สมบูรณ์ในพื้นที่สวนพฤกษศาสตร์  ในปัจจุบันสวนพฤกษศาสตร์จึงเปรียบเสมือนเป็นสถานศึกษาภาคสนามของมหาวิทยาลัย  และสถาบันศึกษาต่างๆ  ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเป็นสถานที่ผลิตนักพฤกษศาสตร์ระดับสูงในสาขาที่ขาดแคลนให้กับประเทศอีกด้วย
          อนึ่งในขณะที่สวนพฤกษศาสตร์  ได้เริ่มการปรับปรุงพื้นที่ดำเนินการระยะแรก  ก็ได้มีผู้อำนวยการและผู้บริหารสวนพฤกษศาสตร์ที่มีชื่อของโลก  เช่น  อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา,  ญี่ปุ่น,  เดนมาร์ก,  สวีเดน,  เยอรมัน,  และออสเตรเลีย  เดินทางมาเยือนและต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นสถานที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการจัดตั้งเป็นสวนพฤกษศาสตร์ระดับโลก  และท่านเหล่านี้ก็ได้แจ้งเจตจำนงที่จะให้ความร่วมมือสนับสนุนการดำเนินการของสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้อย่างเต็มที่...............

  .. ความเป็นมาของสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
          องค์การสวนพฤกษศาสตร์ได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2535  ซึ่งเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ  ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนพฤกษศาสตร์ พ.ศ. 2535 โดยมีสถานภาพเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี  ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 109 ตอน 40 ลงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2535  โดย ฯพณฯ  นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายกรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแลและวางนโยบายร่วมกับคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์  ให้องค์การมีความก้าวหน้าในระดับนานาชาติให้ประเทศไทยมีสวนพฤกษศาสตร์ที่ได้รับมาตรฐานสากล  และเป็นสถานที่เชิดชูความงามและคุณค่าพรรณไม้ไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก
          ในปี  พ.ศ. 2537  ทางองค์การฯ  ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้พระราชทาน  พระราชานุญาต จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  ให้ใช้ชื่อสวนพฤกษศาสตร์ในภาคเหนือของโครงการฯ ที่อำเภอแม่ริม  จังหวัดเชียงใหม่ว่า "สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์" ( Queen  Sirikit  Botanic  Garden )
          ในปี พ.ศ. 2545  รัฐบาลมีนโยบายในการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม โดยนำหน่วยงานราชการที่มีภาระกิจคล้ายคลึงกันไว้ในหน่วยงานเดียว  องค์การสวนพฤกษศาสตร์จึงได้โอนย้ายจากสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีมาสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ตามพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการ  ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง  ทบวง  กรม พ.ศ. 2545 โดยประกาศใช้ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 119 ตอนที่ 102 ก  ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2545

   ...  อย่างนี้  ต้องไปทานแล้ว.... หน้าตาน่ากินจริง ๆ  ... 

      ท้องร้องว่า....หิว หิว หิว  แล้วอ่ะ.....   

           ......................................

  ....  อร่อย น่า ทาน ทุก เมนู ......

    ข้าวปั้น  หน้าตาน่าทานทุกหน้าเลย......

......       .......        .......   

   ถูกใจเลยค่ะ...เมนูคนรักเส้นค่ะ  กับก๋วยเตี๋ยวต้มยำ  .....น่าทานสุด ๆ

                                                 .................

   อร่อยกลมกล่อม.....ทุกรสชาติของ  คอกาแฟแท้ๆ  ......   

  ....   ขอบคุณค่ะ

บรรยากาศน่าลองไปนั่งชิล ๆ  จิบกาแฟยามบ่ายจริงๆ  เลยค่ะ......

            ......               

    ขอบคุณค่ะ.....ที่แนะนำมา  ชว่งบ่ายอย่างนี้กำลังต้องหาอย่างไรกระตุ้นสักหน่อย

                                      .................

   มื้อเช้านี้ ต้อง...ที่นี้เลย "โจ๊กสวนเพชร"
            นอกจากโจ๊กแสนอร่อยแล้ว  ยังมี ข้าวต้มหมู , ปลา  และ พวกติ่มซำ หรือซาราเปา  ให้เลือกทานได้ด้วย
            ( ..... แบบว่ามาที่เดียว คุ้ม.....)

                                    

  เย็นนี้ไม่รู้ว่า จะทานข้าวที่ไหน  แนะนำ ร้านเฮือน สุนทรี เวชานนท์
        นั่งทานอาหารไป  พร้อมๆ  กับฟังเสียงดนตรี(โฟล์คซองคำเมือง)  โรแมนติกสุดๆ.....

     ......           ......             .......     

   อร่อย....  อย่าบอกใครเข้มข้น จริงๆ 

   ถ้าใครได้มาเที่ยวเชียงใหม่ก็อย่าลืมแวะชิม ข้าวซอยกันนะค่ะ..... ต้นตำหรับจร้า

   วิวทิวทัศน์สวยงาม  น้ำตกสวย น่าเล่น  อยากไปสักครั้ง   

   ไป  ไป  ไป  ต้องหาโอกาสไปให้ได้........