หัวข้อ: วัดปากทางสามัคคี (ม่อนฤาษี) : วัดแห่งการปฏิบัติธรรม เริ่มหัวข้อโดย: konhuleg ที่ สิงหาคม 13, 2015, 09:24:22 AM ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยจะแน่นอนกันครับ บางวันก็แดดออกโคตรดี บางวันก็มีฝนตกให้หงุดหงิดน่ารำคาญใจ ซึ่งสำหรับใครคนนี้ที่ต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆ เพื่อเก็บภาพ ขอบอกเลยว่าต้องเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์
อย่างฝนตกก็ต้องเตรียมร่ม กับเสื้อกันฝนไว้ครับ ซึ่งไอ้ผมก็เตรียมไว้กันประจำ แต่หลังๆ ต้องมีอีกอย่างต้องเตรียมด้วยเวลาแดดออกก็คือ ถุงมือขับรถมอเตอร์ไซค์ กรณีขับแดดไม่แรงเวลาไม่นาน มันไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าซัก 30 นาที ขึ้นไปแดดเปรี้ยงๆ ตอนเที่ยงยาวไปจนถึงบ่ายสาม ขอบอกเลยว่ามือไหม้กันแน่นอนถ้าไม่มีถุงมือใส่ เคยมีครั้งหนึ่งผมขับรถสามวันต่อกันไม่ใส่ถุงมือปรากฏว่ามือตอนนั้นไหม้เกรียม จากนั้นต่อมาอีกประมาณซักสัปดาห์ ผิวหนังก็ค่อยๆ ลอกออก เพราะมันโดนทำลายจากรังสีของพระอาทิตย์ ขอบอกเลยว่าสภาพตอนนั้นทุเรศกันสุดๆ ซึ่งกว่าจะฟื้นฟูสภาพผิวได้ก็ใช้เวลาอยู่นานโข และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เรพาะเลยต้องมีไอ้ถุงมือนี้ติดไว้รถ มากันที่เรื่องวัดปากทางสามัคคี (ม่อนฤาษี) ใน อ.ดอยหล่อ วัดนี้จะอยู่เลยจากตัว อ.ดอยหล่อมาไม่ไกลมานัก ตั้งยู่หมู่ที่ 9 ตำบลดอยหล่อ อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2525 ในวาระฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี โดยมีพระเดชพระคุณพระเทพสิทธิาจารย์ (หลวงพ่อทอง ศิริมังคโล) เป็นองค์อุปถัมภ์สร้าง และมีพระจำเนียร สุภาธโส แห่งวัดตะโปธาราม เชียงใหม่ มาเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาส ซึ่งได้ฝึกอบรมศรัทธาประชาชน ด้านวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อปี พ.ศ.2529 ทางวัดได้มีการบรรพชาสามาเณรภาคฤดูร้อนขึ้นในช่วงปิดภาคเรียน เดือนเมษายนของทุกปี โดยมีเยาวชนสมัครเข้ามาบรรพชาประมาณ 250 ถึง 300 คน โดยดำเนินการมาถึงปี 2533 และช่วงนี้พระจำเนียร สุภาธโส เจ้าอาวาสวัดได้มรณภาพไป ทางการจึงแต่งตั้งให้พระนิวัฒน์ สุเมธโส เป็นเจ้าอาวาสองค์ต่อมา และได้มีการจัดงานปริวาสกรรมขึ้น แทนการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน ซึ่งการจัดงานปริวาสกรรมนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 เป็นต้นมา โดยมีพระสงฆ์ทั่วประเทศ 77 จังหวัด พร้อมด้วยพระสงฆ์ต่างประเทศ เช่น พม่า กัมพูชา มาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งทางวัดจัดงานปริวาสกรรมนี้มาแล้วเป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปี ซึ่งจะมีพระสงฆ์มาปฏิบัติกันในปีหนึ่ง ๆ ประมาณ 400 รูปขึ้นไป สำหรับเนื้อที่ของวัดนั้นมีประมาณ 45 ไร่ ศาสนสถานมี พระเจ้าทันใจ ศาลาการเปรียญ โบสถ์ พระเจดีย์ ศาลาเอนกประสงค์ หอระฆัง เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งรายละเอียดยิบย่อยลึกๆ จะมาต่อกันในตอนหน้าครับ หัวข้อ: Re: วัดปากทางสามัคคี (ม่อนฤาษี) : วัดแห่งการปฏิบัติธรรม #1 เริ่มหัวข้อโดย: konhuleg ที่ กันยายน 12, 2016, 01:56:18 PM จากทำเลที่ตั้งของวัด แม้จะอยู่ติดกับถนนสานหลักของเชียงใหม่ แต่บรรยากาศภายในจัดว่าเงียบสงบกันเลยทีเดียวครับ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่วัดแห่งนี้จะจัดงานปริวาสกรรมนี้มาแล้วเป็นระยะเวลา 20 ปี เข้าให้แล้ว
อย่างที่ได้ทิ้งท้ายกันไว้ถึงสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจต่างๆ ภายในวัด ผมจะขอเริ่มพาไปสำรวจกันที่แรกเลยครับ เป็นอุโบสถของวัด อาคารที่พระสงฆ์ใช้ประชุมสังฆกรรมร่วมกัน ซึ่งการทำสังฆกรรมที่สำคัญที่สุดได้แก่การทำสังฆกรรมบวช ในวัฒนธรรมล้านนา แบบอย่างของวิหารและโบสถ์มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่โบสถ์จะมีใบสีมา เป็นเครื่องหมายเขตบริสุทธิ์ล้อมรอบ อาคารที่เป็นตัวโบสถ์อีกชั้นหนึ่ง โดยจะกำหนดบริเวณทิศทั้ง 8 และฝังไว้ตรงกลาง รวมทั้งหมด 9 แห่ง ทั้งนี้การสร้างวิหารจะนิยมมากกว่าโบสถ์ อาจจะ เนื่องมาจากการมีประโยชน์ใช้สอยที่มากกว่า เพราะคติแต่เดิมโบสถ์ใช้ในการประชุมสังฆกรรมเพื่อการอุปสมบทพระสงฆ์ตามที่ บัญญัติไว้ในพระวินัยเป็น สำคัญ นอกจากนี้ก็จะมีการรับกฐิน การสวดปาติโมกข์ประจำทุก ๆ 15 ค่ำ ส่วนพิธีอื่น ๆ ที่เป็นประเพณีประจำปีมักจะกระทำในวิหาร อีกทั้งยังใช้เป็นที่อยู่อาศัยของสงฆ์ เป็นศาลาการเปรียญเป็นสถานที่ประชุมพุทธบริษัทต่างๆ รวมถึงคติการบวชดังที่เราจะพบอยู่บ่อยครั้งในตำนานทางภาคเหนือ จะนิยมบวชโดยใช้สมมุติสีมาน้ำที่เรียกว่า นทีสีมา หรือ อุทกสีมา ตามประเพณีที่ได้รับมาจากลังกา สำหรับด้านหน้าของโบสถ์นั้น เป็นบันไดนาค 5 เศียร ที่มีความสวยงามมาก ส่วนบันไดทางด้านหลังเป็นตัวมอม สัตว์ในจินตนาการอย่างหนึ่งรูปร่างคล้ายราชสีห์ผสมมังกร ที่มักปั้นเพื่อใช้ประดับสถานที่ ในทางศิลปะล้านนานั้นช่างปั้นบางครั้งก็ปั้นให้ดูคล้ายตุ๊กแก กิ้งก่า หรือค่าง ลักษณะของศิลปะนั้นได้รับอิทธิพลจากจีน ส่วนในศิลปะลาวและอีสานนั้น เชื่อว่า มอมเป็นสิงห์จำพวกหนึ่ง ช่างนิยมปั้นให้มีลักษณะคล้ายสิงห์ลำตัวยาวประดับราวบันได หรือปั้นคล้ายสุนัขขนาดใหญ่มีแผงคอและแผงหลัง และชาวอีสานถือว่ามอมเป็นสัตว์มงคลที่ปรากฏอยู่ในลายสักร่างกายของคนสมัยโบราณด้วย ด้านหลังของอุโบสถ เป็นที่ตั้งขององค์เจดีย์วัดครับ เป็นเจดีย์ทรงปราสาท รูปทรงสี่เหลี่ยมซ้อนชั้น คล้ายรูปทรงปราสาทหรือที่อยู่ของกษัตริย์ เจดีย์รูปทรงนี้เชื่อว่าพัฒนาการมาจากเจดีย์ทรงศิขรของอินเดีย ในช่วงต้นของวัฒนธรรมล้านนา นิยมสร้างเจดีย์ทรงปราสาทที่มีการซ้อนชั้นมีซุ้มประดิษฐานโดยรอบทุกชั้น ต่อมาจึงพัฒนาการเป็นเจดีย์ทรงปราสาทที่มีเรือนธาตุและมีซุ้มประดิษฐานพระ พุทธรูปภายในชั้นเดียว และมีส่วนยอดทำเป็นเจดีย์องค์ระฆังขนาดเล็กซ้อนชั้นขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของเจดีย์ทรงปราสาทล้านนา ส่วนตอนหน้าตอนสุดท้าย มีชมสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ที่เหลือกันครับ หัวข้อ: Re: วัดปากทางสามัคคี (ม่อนฤาษี) : วัดแห่งการปฏิบัติธรรม #1 เริ่มหัวข้อโดย: konhuleg ที่ กันยายน 12, 2016, 01:58:33 PM มาวัดนี้นอกจาจะมีอะไรที่น่าสนใจให้ดูแล้ว ยังให้อารมณ์เงียบสงบเสียจนวังเวง
บริเวณด้านหลังของวัดนั้นถัดจากเจดีย์ลงไปข้างๆ กับศาลาจะเป็นของป่าครับ ซึ่งป่าตรงนี้เข้าใจว่าน่าจะเป็นป่าที่ปลูกไว้ของทางวัด แต่ที่มันไม่ค่อยธรรมดาก็ตรงที่พื้นดินแถวนั้นค่อนข้างที่ชุ่มชื้น เพราะถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้หญ้าที่เอามาทำปุ๋ย เวลาจะเดินแต่ละทีต้องมีระวังเพราะกลัวเท้าจมลง และเมื่อจมลงก็คงคิดมากตามประสาคนฟุ้งซ่านแบบผม ที่ไปคิดว่าตรงนี้ต้องเป็นป่าช้ามาก่อนแน่ๆ ทั้งๆ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย ฮ่าๆๆ สงสัยดูหนังผีเยอะ มาที่เรื่องศาสนสถานและศาสนวัตถุที่เหลือกัน ตรงศาลาของวัดนั้นมีพระเจ้าทันใจประดิษฐานอยู่ เป็นพระเจ้าทันใจองค์ใหญ่พอสมควร ซึ่งพระเจ้าทันใจนั้น เป็นพระพุทธรูปที่สามารถสร้างเสร็จภายใน 1 วัน พุทธศาสนิกชนจึงเชื่อว่ามีพระพุทธานุภาพ ที่จะสามารถบันดาลให้เกิดโชคลาภ และความสมปรารถนาได้ทันอกทันใจเมื่ออธิษฐานขอพร ตรงศาลานี้คาดว่าน่าจะเป็นที่ปริวาสกรรมขิงพระภิกษุกันครับ ออกมาฝั่งตรงด้านนอกๆ จากหลังวัดกันบ้าง มีพระสังกัจจายน์ เป็นพระอรหันต์ 1 ใน 80 พระอสีติมหาสาวกในศาสนาของพระโคตมพุทธเจ้า ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะในทางผู้อธิบายความย่อให้พิสดาร พระสังกัจจายน์ มีพุทธลักษณะอ้วน พุงพลุ้ย มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ โชคลาภ เป็นหนึ่งในพระสาวกผู้ใหญ่ จัดอยู่ในเอตทัคคะ ลักษณะของพระสังกัจจายน์ โดดเด่นมองเห็นก็รู้ว่า เป็นพุทธสาวกองค์ไหน เมื่อสรุปแล้วจะเห็นว่า พุทธสาวกจำนวน 80 องค์ พระเอตทัคคะ 41 องค์นั้น มีเพียงพระสังกัจจายน์ เท่านั้นที่สร้างอย่างโดด พระสังกัจจายน์ เป็นพระพุทธสาวกที่มีความเฉลียวฉลาดมีความรู้ และเป็นที่โปรดของพระพุทธองค์ยิ่งมีบารมี มีอิทธิฤทธิ์ ผู้ใดบูชาพระสังกัจจายน์ จึงได้รับพรจากพุทธสาวก อันเป็นเอตทัคคะอย่างสมบูรณ์ เมื่อพูดถึงเรื่องโชคลาภแท้ที่จริงแล้วชาวพุทธเราจำนวนไม่น้อยต่างได้ลาภอันประเสริฐกันทุกคน ลาภอันประเสริฐที่ว่าคือ "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" นั่นเองตามบาลีที่ว่า "อโรคฺยาปรฺมา ลาภา" ถัดมาอยู่ใกล้ๆ กัน เป็น องค์เจ้าแม่กวนอิม ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ฝ่ายมหายาน เป็นองค์เดียวกันกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ในภาษาสันสกฤต ซึ่งมีต้นกำเนิดจากพระสูตรมหายานในอินเดีย และได้ผสมผสานกับตำนานเรื่องเจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน ของศาสนาพื้นบ้านจีนจนก่อให้เกิดเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมในภาคสตรีขึ้น เพื่อแสดงออกถึงความอ่อนโยน และแสดงถึงความเมตตากรุณาให้เด่นชัดยิ่งขึ้นดังเช่นความรักของมารดาที่มีต่อบุตร ซึ่งเป็นการผสมผสานกลมกลืนทางความเชื่อที่ปราศจากข้อขัดแย้ง สุดท้ายวิหารพระเจ้าทันใจองค์ขนาดเล็ก ที่ตัววิหารสร้างด้วยไม้ทั้งหลังอยู่ข้างๆ ติดกันกับองค์เจดีย์ของวัด |