จองที่พักราคาถูกทั่วประเทศโทร 053266550-2

ช่วงสงกรานต์เดือนเมษายน หลบอากาศร้อนที่เมืองไทยไปพักผ่อนที่ ประเทศญี่ปุ่น
โดยไปแบบเที่ยวตามทัวร์ จองผ่าน เว็บ www.teawasia.com  (ลองเข้าดูโปรแกรมเที่ยวได้ครับ)
ก็เก็บรายละเอียดมาฝาก เผื่อ ท่านที่สนใจ เอาไว้เป็นข้อมูล ในการ ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น นะครับ

โดย เลือก โปรแกรมนี้ เพราะว่า มีเด็กๆ ไปด้วย เลย เลือก โปรแกรมที่เที่ยวที่มี ทีมพาร์คชื่อดังของญี่ปุ่น นั่นก็คือโอซาก้ายูนิเวอร์แซล และโตเกียวดิสนีย์แลนด์

และ เลือกที่จะไป ต่อเครื่องที่ สิงคโปร์ เพราะว่าอยากทดลองนั่งเจ้ายักษ์ Airbus A380 เครื่องบิน พาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดูสักครั้ง  912

ก็เริ่มต้นการเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อน เลย
รอที่เคาเตอร์ check-in ของ สายการบิน สิงคโปร์แอร์ไลน์ ปรากฏว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ สักคน
รอตั้งนานกว่าจะมา...เสียเวลาเดินเที่ยว ด้านใน หมด 905

อย่างที่บอกครับ ที่ เลือกไปกับ สิงคโปร์แอร์ไลน์ เพราะว่า อยากลองนั่ง เจ้ายักษ์ Airbus A380 ดู (ทำไงได้เพราะการบินไทยยังไม่มีเจ้าเครื่องนี้เลยแอบนอกใจนิดหน่อย)  ซึ่งต้องไปต่อเครื่องที่ สิงคโปร์

เริ่มด้วย ไฟลท์ SQ979  BKK-SIN  ออกจาก เมืองไทย เวลา 18.30 น.

กว่าจะได้เดินเข้า เล่น ภายใน...เสียเวลารอ check -in ของสายการบิน ตั้งนาน
แต่ก็มีเรื่องประทับใจ ตรง เจ้าหน้าที่ ต.ม ซึ่งท่านอัธยาศัยดีมาก ทั้งๆที่ เป็นวันที่มีคนเยอะมาก เสียดาย จำชื่อท่านไม่ได้
ใช้เวลา ประทับหนังสือเดินทาง ตรง ต.ม ไม่นาน ก็ได้มาเดินข้างใน 916

ก่อนเข้ามา ทัวร์ นี้ดีแหะ ...เค้าแจก บัตรส่วนลด และ บัตรใช้บริการที่ king power lounge ด้วย
เลยไปใช้บริการ ดีกว่า

จนได้เวลา ไปรอ ขึ้นเครื่อง ที่ Gate

เมือถึงเวลา เจ้า Boeing 777-200  เที่ยวบินที่ SQ 979
ลำที่จะพา ไปเปลี่ยนเครื่องที่สิงคโปร์ ก็เข้ามาเทียบที่ งวงช้าง ตรงเวลาเป๊ะ

มุมบังคับ ก่อนเข้าเครื่อง

เอาบรรยากาศภายในเครื่องมาให้ชม
เก้าอี้นั่ง ไม่ถึงกับใหม่มาก แต่ ก็มี PTV ให้เล่น แก้เบื่อ

อาหารที่เสริฟ ใน ไฟล์ท นี้ เป็น พวก หมี่ผัด...รสชาติ ก็ โอเค

แต่ มีเรื่องต้องระวังนะครับ หากมีโอกาสเลือกที่นั่งได้เอง พยายามอย่าเลือกที่นั่งด้านหลัง เพราะ อาหาร จะได้ช้ามากๆ
แบบว่า ด้านหน้า ทานจะเสร็จหรืออิ่มอยู่แล้ว ข้างหลัง ยังไม่ได้อาหารเลย  915

คราวนี้ลองไปสำรวจห้องน้ำ ของ เครื่องลำนี้บ้างดีกว่า
ซึ่งทาง สิงคโปร์แอร์ไลน์ จะมีมาให้ครบ ในห้องน้ำ ไม่ว่า จะเป็น โคโลญชน์, After shave, หวี หรือ แม้กระทั่ง แปรงสีฟันและยาสีฟัน

ใช้เวลาบิน จาก กรุงเทพฯ ไป สิงคโปร์ ประมาณ 2 ชั่วโมง
กำหนดการ ถึง สิงคโปร์ ประมาณ 21.29 น. (เวลาที่ สิงคโปร์เร็วกว่า 1 ชั่วโมง)

เมื่อถึง สนามบินสิงคโปร์ ต้องลงจากเครื่อง ไปต่อ เครื่องที่จะไป ญี่ปุ่น
ค่อนข้าง เหนื่อยเอาการ เหมือนกัน...ซึ่ง บางครั้ง ทำให้นึกถึง ไฟลท์บินตรงเลย จะสบายกว่า

ดูบอร์ดตารางการบิน ไฟลท์ SQ638 ที่จะไป Tokyo-Narita เครื่องออกเวลา 23:45 น.
ที่ terminal 3 ซึ่ง ต้องนั่งรถไฟฟ้า (Skytrain)ต่อไปยัง terminal 3
นานๆมาเที่ยวที ผมว่าก็ สนุกดี...แต่ มาบ่อยๆ ท่าจะไม่ไหว  :26:

ที่ terminal 3
มีร้าน ขายของเยอะ....ใครชอบ ช้อปปิ้ง ผมว่า มี ละลายทรัพย์

มีมุม internet ไว้ให้เล่น ฟรี
ผมว่าตรงนี้เค้าทำได้ดี...ทำให้การรอ ขึ้นเครื่องไม่น่าเบื่อ ไม่ใช่ว่า ตั้งหน้าตั้งตา ขายของ อย่างเดียว  :onio:

มุม สำหรับเด็ก เช่น ที่ให้เด็กวาดระบายสีเล่น
ดูง่ายๆ แต่ ก็เป็นไอเดีย ที่ดี
ทำให้การรอ ขึ้น เครื่อง เป็นเรื่องไม่น่าเบื่อ

และแล้วก็ได้เวลา ขึ้นเครื่องออกเดินทาง ไป ญี่ปุ่น
เนื่องจาก เจ้า A380 จุผู้โดยสารได้มาก ประมาณ 800 ที่นั่ง
การให้ผู้โดยสาร เข้า เครื่อง จึงใช้เวลาพอสมควร และ จะมีการ เรียกตามที่นั่ง เช่น ผู้โดยสารชั้นบน (upper deck) จะเข้าไปก่อน
อันนี้ผมหมายถึง ชั้นประหยัดนะครับ เพราะว่า ชั้น First class กับ Business Class คงขึ้นเครื่องได้ตามใจชอบ
ส่วนผมมีเด็กเล็กเป็นตัวประกัน เลย ได้ เรียกเข้าเครื่องก่อน  913

นี่ไง เจ้ายักษ์ Airbus A380  ที่ยอมเสียเวลาเดินทางอ้อมลงใต้ เพื่อมาลองนั่ง เครื่องบินรุ่นใหม่นี้ดู
เสียดาย เป็น ตอนกลางคืน เลยถ่ายมาได้แค่เนี่ย

ส่วนรูปด้านล่าง เป็น รูปหน้าตา ของเจ้านกยักษ์ Airbus A380 ของสายการบิน Singapore Airlines

เข้ามาภายในตัวเครื่อง สภาพด้านในแน่นอน ก็ยังใหม่เอี่ยมอยู่ เพราะ เพิ่งใช้บินได้ไม่นานมานี้เอง

ความบันเทิง บนด้านหน้าเก้าอี้ ระบบ In-Flight Entertainment แบบAVOD มีมาให้ครบ

เดิมที ตั้งใจว่า จะถ่ายรูปมาช่วย โปรโมท ให้เจ้ายักษ์ นี้ซะหน่อย
รวมถึง แอร์โฮสเตส ในชุด Sarong kebaya (โสร่งเคบายา) ที่สิงคโปร์แอร์ไลน์ ใช้เป็นกลยุทธ์ในการสร้างแบนด์และโฆษณา
แต่ยังไม่ทันได้จับผิด....เอ๊ย  ชื่นชมกับ Singapore girl ไอคอนทางการตลาดที่ติดตามแบรนด์"สิงคโปร์แอร์ไลน์" ไปทั่วทุกสารทิศ

แต่มาเสียอารมณ์ตรงที่ เจ๊หมวย....มาออกอาการ ว่าห้ามถ่ายรูป (ตรงนี้ผมเข้าใจนะครับว่าสำหรับเจ้า A380 มันเป็นเรื่องใหม่....เวลาใครขึ้นมาใช้บริการจึงมักจะต้องการถ่ายรูปเก็บกับไปเป็นที่ระลึก ผู้โดยสารอาจจะทำให้ เกะกะ การทำงาน ของเจ๊ไปบ้าง.....แต่มารยาทที่เจ๊แกแสดงออก ผมว่าไม่สมกับ สายการบินระดับ  5 ดาวเลย) ข้อมูลจาก  http://www.airlinequality.com/StarRanking/5star.htm

เล่นเอา ผู้โดยสารหลายคน ไม่กล้าถ่ายรูปเลย

เดิมทีได้ยินชื่อเสียงของการบริการ ของ สิงคโปร์แอร์ไลน์ ว่า ดี......มาเจอตรงนี้ ผมว่า ไม่เป็นอย่างที่คาดหวังเลย
ตรู อุตส่าห์ บ้าจี้ นั่งเครื่องลงใต้ของเมืองไทยแล้วย้อนกลับขึ้นเหนือไป ญี่ปุ่น เพื่อมาลองนั่ง เจ้า A380นะเนี่ย
หรือ ว่า เรามานั่ง ชั้น Economy class หว่า  905

แต่ก็ช่างมันเถอะ...มองโลกในแง่ดี ให้ บริการห่วยๆ บ้างก็ดี เผื่อ สายการบินบ้านเกิดตรู จะได้ไล่ตามทันบ้าง....5555

แต่ก็มีข้อดีที่เจอ อย่างเช่น ของเล่นที่แจกสำหรับผู้โดยสารเด็กๆ จะมีคุณภาพ ค่อนข้างดูดี และแอร์โอฮสเตสมาให้โดยไม่ต้องร้องขอเลย

อันนี้เป็น Flight path บนหน้าจอ

มาดู เมนูที่จะเสริฟ ใน ไฟล์ท นี้ กันนะครับ

อันนี้ เค้าบอก เป็น lite bite เอามาแจก ก่อนได้เวลานอน  911

มาสำรวจ ภายในห้องน้ำ ในชั้นประหยัดของเจ้า Airbus-A380 ดูบ้างนะครับ
ขนาดห้องน้ำ ก็ไม่ได้กว้างอะไรเลย แต่ ก็มี เครื่องใช้ที่จำเป็นมาให้ครบ เช่น มีดโกนหวด,หวี, แปรงสีฟันและยาสีฟัน
ก็อกน้ำสามารถ ปรับระดับร้อนเย็นได้

กว่าจะได้นอน...
ก็เกือบจะถึง Narita อยู่แล้ว

ยังไม่ทัน ตื่นดี....อาหารเช้าก็ นำมาเสริฟแล้ว
มีให้เลือก 2 อย่าง คือ แบบญี่ปุ่น (มีข้าว) กับ แบบ ยุโรป (มีไข่)
ซึ่งผมก็ชิมทั้ง 2 อย่าง แนะนำ ให้เลือก แบบ ญี่ปุ่นเข้าไว้นะครับ เพราะ อีกแบบ ไม่อร่อยเลย

และแล้ว ก็ มาถึง สนามบิน นาริตะ

เดินออกมา..ขอยลโฉม เจ้ายักษ์ Airbus A380 ของ Singapore airlines ที่พามาญี่ปุ่น ชัดๆหน่อย

สรุป หลังจากได้ทดลองนั่ง เจ้า A380 ครั้งแรก ซึ่งได้นั่งด้านท้ายสุดของตัวเครื่องซะด้วย
เวลาเครื่อง ขึ้น และ ลง ก็ นิ่มนวล สมคำร่ำลือ
แต่ hilight ผมว่า น่าจะอยุ่ที่ ชั้น Business หรือ First Class มากกว่า ถึง จะเห็นความแตกต่าง จาก เครื่องบินรุ่นอื่นๆ อย่างชัดเจน

เข้ามาภายในอาคารสนามบิน นาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ก็เจอ ป้าย นี้ก่อนเลย

เฮ้อ....ถึง ซะที  ญี่ปุ่น

คิดดูนะครับ ขนาดมารีวิว หมดไปแล้ว เกือบหน้า ยังไม่ได้เริ่มบันทึกการเดินทางท่องเที่ยว ญี่ปุ่นเลย

ระยะทาง เพื่อไปถึง ด่าน ต.ม เพื่อประทับหนังสือเดินทางเข้าประเทศ กับ รับกระเป๋าเดินทาง ก็ ไกลพอสมควร  เล่นเดินเอาเมื่อยเหมือนกันนะเนี่ย

กว่าจะได้ออกเดินทาง ออกจากสนามบิน นาริตะ เพื่อ ตะลุย ญี่ปุ่น ก็เกือบ 9 โมงเช้า (ตามเวลาที่อยู่บนบอร์ดด้านหลัง)

โปรแกรมเที่ยววันนี้ มีดังนี้ครับ


13 เม.ย. 53   สิงคโปร์ – นาริตะ – ไร่สตรอเบอร์รี่ – วัดอาซะกุซ่า – พระราชวังอิมพีเรียล – ชินจูกุ

21.55 น.    เดินทางถึงสนามบินชางฮี ประเทศสิงคโปร์ เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง

23.45 น.   เดินทางต่อสู่ประเทศญี่ปุ่น โดยสายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ SQ 638

07.50 น.   ถึงสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น หลังผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเรียบร้อยแล้ว จากนั้นท่านเดินทางสู่ ไร่สตรอเบอร์รี่   ** ให้ท่านได้เก็บสตรอเบอร์รี่ผลโต แดงสดจากไร่ รับประทานได้ไม่อั้น **  จากนั้นนำท่านชม วัดอาซะกุซ่า ซี่งเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโตเกียว ภายในยังมีองค์เจ้าแม่กวนอิมทองคำท่านจะได้เห็นโคมไฟสีแดงขนาดยักษ์ที่มีความสูงถึง 4.5เมตร ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานวัดแห่งนี้ รวมถึงถนนนาคามิเสะ ย่านช้อปปิ้งที่มีชื่อของวัดมีร้านขายของที่ระลึกมากมายไม่ว่าจะเป็น เครื่องรางของขลังของเล่นโบราณและตบท้ายด้วยร้านขายขนมที่คนญี่ปุ่นซึ่งมายังวัดแห่งนี้ต้องมา ต่อคิวกันซื้อกลับไปฝากคนที่บ้านกันทีเดียว 

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

บ่าย   พาท่านแวะชม พระราชวังอิมพีเรียล ซึ่งเป็นที่ประทับของจักรพรรดิและพระราชวงศ์ ตัวปราสาทสร้างตามรูปแบบในสมัยเอโดะ ล้อมรอบด้วยคูน้ำและกำแพงหิน ทางเข้าหลักจะเป็นสะพานคู่หรือเรียกว่านิจูบาชิ ที่สร้างได้อย่างสวยสง่างาม ทางด้านตะวันออกจะมีสวนดอกไม้ ซึ่งจัดไว้อย่างสวยงามเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามาพักผ่อนหย่อนใจได้ตลอดเวลา…จากนั้น
ให้ท่านได้ช้อปปิ้งอย่างจุใจที่ ย่านชินจูกุ  เพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งสินค้า มากมาย อาทิเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า  นาฬิกาแบรนด์ดัง ๆ  กล้องถ่ายรูปดิจิตอล  เกมส์ต่าง ๆ  หรือสินค้าที่จะเอาใจคุณผู้หญิงด้วย   กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า แบรนด์เนม  เสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับวัยรุ่นเครื่อง สำอางค์ยี่ห้อดังของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น KOSE , SHISEDO , KANEBO , SK II และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ราคาค่อนข้างถูกกว่าเมืองไทย  และที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ ร้าน 100 เยน  ซึ่งสินค้าทุกอย่างภายในร้านจะราคา 100 เยน เท่ากันหมด จะมีทั้งเครื่องสำอาง เสื้อผ้า กระเป๋า ของกิ๊ฟท์ช๊อป ขนม ของกิน และสินค้าอื่น ๆ อีก ที่ท่านสามารถเลือกซื้อเป็นของฝากกลับบ้านได้ ในราคาที่สบายกระเป๋า

ค่ำ      รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

นำท่านเข้าสู่ที่พัก โรงแรม ซันไชน์ ซิตี้ พริ้น
3-1-5 HIGASHI – IKEBUKURO, TOSHIMAKU,TOKYO
TEL. 03-3988-1111      FAX.03-3988-7878

ตามโปรแกรมเลยครับ....จุดหมายแรก ที่ ไป คือ ไป ทานสตรอเบอรี่สดจากไร่
ถ้าบอกไปไร่สตรอเบอรี่ ตอนแรก จะนึกเปรียบเทียบกับไร่สตรอเบอรี่แถว อ.สะเมิง บ้านเราที่เชียงใหม่ แบบว่า ไกลสุดลูกหูลูกตา
ที่ไหนได้ ไร่สตรอเบอรี่ เค้า ปลูก ในโรงเรือนระบบปิด และ มีขนาดเท่าที่เห็นตามรุป เนี่ยแหละครับ

แต่สตรอเบอรี่ ที่นี่ เค้าไม่ได้ปลูกบนดิน นะครับ
เค้าปลูกบน กระถาง แบบในรูป และ ไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลงใดๆทั้งสิ้น
ดังนั้น เรา สามารถ ทานได้สดๆ จากต้น เลย โดยที่ไม่ต้องนำไปล้าง

ว่าจะเอาไอเดีย มาปลูก สตรอเบอรี่ ที่ อ.สะเมิง ซะหน่อย

ว่าไปแล้ว นี้เป็นอาหาร มื้อแรก บน แผ่นดิน ญี่ปุ่น เลยนะเนี่ย
เค้ากลัว ทานไม่อิ่ม แจก นมมาให้ทานกับ สตรอเบอรี่อีกต่างหาก

เค้าให้เรา เลือก เด็ดผลสตรอเบอรี่สดจากต้น ได้เต็มที่  ไม่อั้น

ลูกสาว เจ้าของ ไร่ สตรอเบอรี่ กำลัง นั่ง คัดลูกสตรอเบอรี่ ไว้ส่งขาย
มีโอกาส คุย กับ คนในพื้นที่ พบว่า เกษตรกรที่นี่ มีฐานะดีทั้งนั้น

อันนี้ ลูก สตรอเบอรี่ ที่เค้า คัดมาแล้ว

กินหมดแพคนี้ ก็ จุกพอดี

ลาจากไร่สตรอเบอรี่ ด้วยภาพนี้หละกันนะครับ

หลังจากนั้น ก็ ออกเดินทางต่อไปยัง วัดอาซะกุซ่า
ระหว่าง ที่เดินไปยัง วัด....เจอเจ้ารถbus คันนี้ น่ารักดี  :onion2012:

วัดอาซะกุซ่า  ผมว่าก็คงเหมือน ดอยสุเทพ บ้านเรา
ที่ใครมาโตเกียว ต้องมายังวัดแห่งนี้

สัญญลักษณ์ที่ ทำให้ คนจำวัดนี้ได้ดี คือ โคมแดง ลูกใหญ่ๆ ที่ แขวนอยู่ด้านหน้าประตุวัดนั่นเอง

รถลากโดยใช้แรงงานของคน
ที่ยังหาดูได้ ในกลางมหานครโตเกียว เมืองที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและทันสมัยสุดๆ

ผมว่า นอกจากโคมยักษ์สีแดง แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้คนจะจดจำวัดนี้ได้คือ ร้านค้าและผู้คน ที่มีเยอะจริงๆ

อันนี้เข้าใจว่าเป็น รองเท้า นะครับ 912

ช่วงบ่าย ไป ช้อปปิ้ง ที่แหล่งละลายทรัพย์ของคนไทย ย่าน ชินจุกุ นั่นเอง

ชอบหน้าร้าน นี้จัง...เด่นมากๆ

ร้านนี้ ขาย อะไรเนี่ย  912

ที่พัก ในคืนแรก ที่โตเกียว พักที่ โรงแรม ซันไชน์ ซิตี้ พริ้น  (sunshine City Prince)

Reception ของโรงแรม (สังเกตู รั้วเชือกที่กั้นเข้าแถว Check-in ยาวมาก)

ด้านล่างของโรงแรม ซันไชน์ ซิตี้ พริ้น  (Sunshine City Prince, Tokyo Japan)
จะมี ซุปเปอร์มาร์เก็ต ขนาดใหญ่ เปิด ตลอด 24 ชั่วโมง
และ โรงแรม มีมุม internet ไว้ให้เล่น ด้วย แต่ไม่ฟรีนะครับ....เสีย เงิน ประมาณ 100 yen ต่อ 10 นาที

สภาพ ภายในห้องพัก โดยรวม ถือว่า โอเค ใช้ได้ครับ
แต่ โทรทัศน์ ยังเป็น รุ่นเก่า อยู่เลย อะ...เดี๋ยวนี้ น่าจะเป็น จอแบน แล้วนา

มีชาเขียว ไว้บริการ

คราวนี้ มาสำรวจ ห้องน้ำ กันบ้างนะครับ
มีหลายคนพูดว่า ห้องน้ำที่ ญี่ปุ่น จะแคบ.... แต่ที่โรงแรม นี้ ผมว่า ยังพอรับได้ครับ ไม่อึดอัดจนเกินไป

อุปกรณ์ พวก Amenity ให้มาครบครัน

พวก สบู่, แชมพู, ครีมนวดผม ให้มาในขวดใหญ่

สังเกตุดูนะครับ โรงแรมที่ญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้ จะให้พวกนี้มาในขวดใหญ่เลย ไม่ให้นำกลับบ้านแบบเป็นขวดเล็กๆ เหมือนสมัยก่อน

ตื่นเช้า มา อีกวัน เปิดหน้าต่างห้องพัก เจอวิว ของ เมือง โตเกียว ดังรุป เลยครับ
วันนี้ มี กำหนดการ ไป Tokyo Disneyland โชดดีจัง ท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีฝนตก  909

มาดูโปรแกรม เที่ยว ในวันที่สาม

วันที่สาม   โตเกียว – โตเกียวดิสนีย์แลนด์ – บุฟเฟต์ขาปูยักษ์ – อาบออนเซ็นเพื่อสุขภาพ

เช้า   รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นขอนำท่านสู่ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์  ดินแดนแห่งความฝันและความสนุก ที่ซึ่งกำแพงแห่งอายุไม่จำเป็นสำหรับผู้มาเยือน โตเกียวดิสนีย์แลนด์  ที่นี่ใช้ทุนในการสร้างกว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐ พบกับ มิกกี้เมาส์ โดนัล ดั๊กส์ และเหล่าผองเพื่อน ๆ จาก วอลล์ดิสนีย์ มากมาย ..อีกทั้งเครื่องเล่นที่พร้อมสร้างความหฤหรรษ์ และ ความตื่นเต้น ให้ทุกท่าน  ไม่ว่าจะเป็น Big Thunder Mountain นั่งรถไฟอันโลดโผนตะลุยเหมืองแร่ , Splash Mountain ล่องแก่งไปในดินแดนของกระต่ายน้อย จนถึงจุดไคล์แม็กซ์กับการดิ่งลงจากความสูงกว่าตึก 2 ชั้นสู่ผืนน้ำที่อยู่ด้านล่าง , อมยิ้มเล็ก ๆ กับความน่ารักของบ้านหมีพูธ์ เครื่องเล่นที่ยอดฮิต ติดใจกันทุกคน

กลางวัน   อิสระอาหารกลางวันตามอัธยาศัย

บ่าย   ให้เวลาท่านได้สนุกสนานต่อกับเครื่องเล่นในโซนต่างๆ เริ่มด้วย Hunted Mansion บ้านผีสิงรูปแบบใหม่ที่น่ารักและไม่น่าหวาดกลัวอย่างที่คิด  , กระทั่งถึงส่วนสำคัญนั่นคือ Space Mountain การผจญภัยไปบนอวกาศที่น่าตื่นตา ,โลดโผนและหวาดเสียว กับ Micro Adventure นำท่านสู่โลกสามมิติ (3 D ) ที่ให้ท่านเสมือนได้สัมผัสเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเหมือนจริง  และสุดท้าย ท้ายสุดกับ เครื่องเล่นใหม่ล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือน เมษา 2004  นั่นคือ Buzz Light Year’s ;Astro Blaster ที่จะนำท่านเข้าไปยังโลกอวกาศพร้อมกับ บัตต์ ไลท์เยียร์ ตัวละครจากเรื่อง Toy Story เพื่อต่อสู้กับ เซิร์ค ( ZURG ) พร้อมกับเหล่าสมุนลูกน้องที่น่ากลัวปนความน่ารัก ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางสู่จังหวัดชิสึโอกะ เพื่อเข้าสู่โรงแรมที่พัก โรงแรมฟูจิโนโบะคาเอน  บริเวณทะเลสาบยามานาคาโกะ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าทะเลสาบที่ล้อมรอบภูเขาไฟฟูจิ
      
โรงแรมฟูจิโนโบะคาเอน
459-201 SUBASHIRI, OYAMA-CHO, SHUNT, SHIZUOKA-KEN
TEL: 0550-75-1666      FAX: 0550-75-7668
ค่ำ   รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม ** [บุฟเฟ่ต์อาหารนานาชนิด อาทิ ซูชิ ซาชิมิ  สเต็กเนื้อ ข้าว ของหวาน ผลไม้ตามฤดูกาล และพิเศษกับเมนู ขาปูยักษ์ อิ่มไม่อั้น ]

ด้านหน้าโรงแรม ก่อนขึ้นรถ ไปยัง โตเกียวดิสนีย์แลนด์

ใช้เวลาไม่นาน ก็ ถึงแล้ว ดินแดนในฝัน ของเด็กๆ

พอลงจากรถ...เจออากาศ หนาวมากๆ  แถม มีลมด้วย

รถ โมโนเรล วิ่ง ผ่าน Tokyo Disneyland Resort

วันทีไป ตรงกับ วัยธรรมดา และ เป็นวันเปิดเทอมของเด็กๆ ที่ ญี่ปุ่น ตอนช่วงเช้า คนเลยยังไม่เยอะ

มาถึง เล่น เจ้าเครื่องนี้ก่อนเลย Buzz Lightyear's Astro Blasters
เพราะว่า เป็น เครื่องเล่นใหม่ เพิ่ง เปิดบริการ ได้ไม่นาน
สนุกมากครับ เล่น ได้ ทุกวัยเลยครับ
เป็นอีกเครื่องเล่นหนึ่งที่ แนะนำ เวลาไปเล่น ที่ Tokyo Disneyland ครับ  :onio:

เล่นเสร้จ จะ เจอ ร้านขายของที่ระลึก ดัก ตรงทางออก อยู่ ตลอด

จริงๆแล้ว ในโซนนี้ (Tomorrow land) ยังมีเครื่องเล่น hilight อีกอย่าง คือ เจ้า Space Mountain
แต่ ผมเคยเล่นแล้ว เมื่อครั้งมาญี่ปุ่น ครั้งก่อน ปรากฏว่า อาหารด้านในท้องแทบออกมาหมด (แต่มันส์ได้ใจมากๆ) มางวดนี้เลยขอ..บาย :26:
ด้วยข้ออ้าง ที่ว่า พาเด็กเล็กมาด้วย  912

เลยไปหา เครื่องเล่น ที่เหมาะกับเด็ก เดินมาเจอ เจ้านี่พอดี พอดี คิวยัง ไม่เยอะ เลยเข้าไปขอลองเล่นดู
ชื่อ Grand Circuit Raceway

เป็นลักษณะ รถแข่ง วิ่งไปตาม Track แต่ ชอบตรง พอเข้าไป มีเสียงคำรามของเครื่องยนต์ และ ท่อไอเสีย เหมือนของจริงมาก

ก็สนุกไปอีกแบบครับ

 :25:

เดินมาถึง เจ้า Pooh's Hunny hunt
สงสัยว่า ทำไม่ คิว เยอะมากๆๆ

เป็น เครื่องเล่น อีกหนึ่งชิ้น เลยครับ ที่ห้ามพลาด ในการมาเล่นที่ Tokyo Disneyland

และแนะนำ ให้รีบมาเอา Fast pass ก่อนเลยนะครับ อย่าต่อคิว เพราะว่า คนเยอะมากๆๆๆ เป็นเครื่องเล่นยอดนิยมของคนญี่ปุ่นเลยครับ

หมายเหตุ : ในแต่ละเครื่องเล่นจะมีวิธีการจอง 2 อย่างคือ จองแบบยืนต่อคิว ซึ่งจะมีป้ายบอกว่าเราจะต้องรอกี่นาที และอีกวิธีคือ Fast Pass ใช้ตั๋วในการ register แล้วจะได้บัตรคิวเวลาเล่นมา พอถึงเวลาดังกล่าวเราก็เข้าไปที่ช่อง fast pass ได้เลย ไม่ต้องไปรอเข้าคิว แต่จะมีเฉพาะเครื่องเล่นบางอันเท่านั้นที่ต้องรอนานๆ

ลํกษณะจะเป็น เหมือน เข้าไปในบ้านเจ้าหมี Pooh
โดยตอนแรก เดินชม การ์ตูน ไปเรื่อยๆ
และ ก็มานั่ง เจ้า ไหน้ำผึ้งของหมีPooh
 ตอนแรก ผมก็คิดว่า มันจะมันส์ตรงไหนวะ...และทำไม คน ต้องมาต่อคิวเล่นเจ้าเครื่องนี้เยอะมาก

พอได้เล่นแล้ว สุดยอดมากครับ สมกับที่ต่อคิวโคตรนาน
การดำเนินเรื่อง รวมถึง ลักษณะการ วิ่งของไหน้ำผึ้ง ทำได้ ตื่นตาตื่นใจดีครับ :onio:

และแน่นอนครับ ออกมา ก็ เจอกับร้านขายของที่ระลึก สินค้าทุกอย่างน่าซื้อมากครับ...จนไม่รู้จะเริ่มซื้อชิ้นไหนดี

It's a small world ก็น่ารักดี
เหมาะกับเด็กๆ กับ คนสูงวัย  สำหรับวัยรุ่นแล้ว คงไม่ชอบ

บ้านผีสิง  Huanted Mansion

น่ากลัว และ ตื่นเต้นตามแบบฉบับ ของ Disneyland
เสียดายไปนิด เล่นเล่าตำนานผี เป็น ภาษาญี่ปุ่น เลย ฟังไม่รู้ เรื่อง(เหมือนนั่งฟังคนเล่าเรื่องผีๆ) เลย ขาดความตื่นเต้น ไป กับเค้าด้วย

ด้านนอก ก็ ดู ไม่น่ากลัว .....ด้านใน แมนชั่น สุด สยอง  911

ข้ามมา โซน Western land
ได้เวลา เรือ กลไฟ ออกพอดี... นั่งเรือกลไฟสมัยโบราณ ชมวิว เพลินๆ ใน โซนนี้

อันนี้ก็น่าเล่นดี เป็นการพายเรือแคนนู แบบ อินเดียแดง
แต่ต้องออกกำลังกาย นิดนึง  :26:

เห็นเค้า เข้าคิว ซื้ออารัยกัน
ตอนแรก นึกว่า ขาไก่......จริงๆแล้ว เป็น ขาไก่งวง ชิ้น เบ้อเริ่ม

มุ่งหน้าสู่ เครื่องเล่นหวาดเสียว อีกชนิดหนึ่ง ที่ ชื่อ Big Thunder Mountain

ป้ายคำเตือนต่างๆ และ ป้ายเวลาที่ใช้ในการรอคิว

เป็นลักษณะ นั่งรถไฟแบบโบราณ เข้าไปในเหมืองแร่ ผ่านหุบเขาต่างๆ

ช่วงรถไฟ เข้าโค้ง ตัวเหมือนจะหลุดจากเก้าอี้นั่ง......หวาดเสียวดี   (http://i549.photobucket.com/albums/ii366/chiangmaitalk/th_railway.gif) 902

ช่วงนี้ ดอก ซากุระ ที่ญี่ปุ่น ออกดอก พอดี

ได้เวลา พาเหรดโชว์ ของ เหล่าบรรดา ตัวการ์ตูนชื่อดัง ของ Waltdisney

ดูรูปเพิ่มเติมได้ที่  http://www.teawchiangmai.com/chiangmaiboard/index.php/topic,2671.0.html

ก่อนลาจาก Tokyo Disneyland จะมีแหล่งละลายทรัพย์ ดักรอ อยู่ตรง World Bazzar

แต่ละร้าน สินค้า และ คนซื้อ เยอะมากๆ
เหมือนแจกฟรี   ทั้งๆที่ ราคา สินค้าแต่ละชิ้น ไม่ใช่ธรรมดา

เท่าที่ สังเกตุดู คนญี่ปุ่น นี่เค้าจะซื้อ ของกันทั้งนั้นเลย
ไม่มี แบบว่า เดินชมเล่นๆ

สินค้ามันเยอะมาก จนผม ไม่รุ้ว่า จะซื้อ อะไร ก่อนดี
และ การ จัดวางสินค้า (display) ที่ ญี่ปุ่น นี่ ขึ้นชื่อเลยครับ วางได้แบบ อลังการ น่าซื้อไปหมด
ผมเลย ตัดสินใจ ใช้วิธี เก็บเป็น ภาพถ่าย กลับไปเป็นที่ระลึก แหละกัน  912

ผมว่าใครมาเดินชม แล้วไม่ซื้อ นี่ใจแข็งน่าดู  903

 :01:

 901

ถ่ายกับ ตัวการ์ตูน ชื่อดัง ของ ดิสนีย์แลนด์

หลังจากนั้น ก็ ออกเดินทาง สู่จังหวัดชิสึโอกะ เพื่อเข้าสู่โรงแรมที่พัก โรงแรมฟูจิโนโบะคาเอน  บริเวณทะเลสาบยามานาคาโกะ ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าทะเลสาบที่ล้อมรอบภูเขาไฟฟูจิ
 กว่าจะถึงโรงแรม ก็ มืดพอดี

ไฮไลท์ อยู่ที่ อาหารมื้อเย็น เป็น ขาปูยักษ์

มาดูห้องพัก กันบ้างนะครับ
โรงแรมนี้ จะ เป็นห้องพัก แบบ เรียวกัง
ได้อารมณ์ แบบ ญี่ปุ่น เลยครับ

ทางโรงแรม ได้จัด เตรียม ชุดยูกาตะ และ รองเท้า
ไว้สำหรับ เดินภายในโรงแรม มาให้พร้อม หรือ จะใส่ ไป ออนเซน แช่น้ำแร่ ที่ ชั้น3 ของโรงแรม

ถ้าใครไม่อยาก ออนเซน แบบญี่ปุ่น ซึ่งต้องอาบน้ำรวมกัน
ในห้องพัก ก็มี อ่างไว้อาบแบบส่วนตัวด้วยครับ
นอนอาบไป.....พร้อม ชิว วิวสวยๆ ของภูเขาไฟฟูจิ ไปด้วย ....สุดยอดมาก

สบู่ และ แชมพู ใช้ของ Shiseido
และ ก็ เหมือนกับโรงแรมอื่นๆ ในญี่ปุ่น ครับ ที่เปลี่ยนมาใช้ขวดขนาดใหญ่ แทน ขวดขนาดเล็ก

ที่ชั้น 3 ของโรงแรม จะ มี ออนเซน แยก ชายและหญิง

และ ใกล้กัน จะมี ซุปเปอร์มาร์เกต ขายขนม , ของ ที่ระลึก เกียวกับ Fuji

ตัดกลับมา เช้าวันใหม่ วันที่ สี่ ของการเดินทาง

จริงๆแล้ว ภาพที่เปิดหน้าต่างจากห้องพัก วิว ที่เห็นข้างหน้า จะต้อง เป็นภาพ ของภูเขาไฟ ฟูจิ ตั้งตระหง่าน อยู่ด้านหน้า
อุตส่าห์ ตื่น แต่ ตี 5  เพื่อมาดูภาพสวยๆ

อ้าวเฮ้ยยย  ภูเขาไฟฟูจิ มันหายไปไหน  914    ทำมาย มีแต่หมอกลงเต็มไปหมด

เลยได้ดู ภาพ ที่จอดรถทัวร์ แทน  905

ลงมาสำรวจ โรงแรมนี้กันบ้างเพราะเมื่อคืนมาถึงดึกมองไม่เห็น

โรงแรม ฟูจิโนโบะคาเอน( FUJINOBOUKAEN HOTEL) เป็น โรงแรม ที่นักท่องเที่ยว คนไทย รู้จักกันเป็นอย่างดี

รอบๆ โรงแรม จะมี น้ำตก และ วิวสวยๆ ไว้ ถ่ายรูป

สัญญลักษณ์ อย่างหนึ่งที่นักท่องเที่ยว จะจำโรงแรมนี้ได้ คือ
ตุ๊กตา ญี่ปุ่น ที่ ตั้ง อยุ่ ชั้นล่าง ของโรงแรม

สวนญี่ปุ่น , น้ำตกขนาดใหญ่ และ บ่อปลาคร๊าฟ ด้านหน้าโรงแรม
เป็น อีกจุดหนึ่ง ที่ นักท่องเที่ยว นิยม มาถ่ายรูป กันเป็นที่ระลึก

 901

มาดูโปรแกรม เที่ยว ในวันที่สี่ กันนะครับ มีดังนี้ครับ

วันที่ สี่   ทะเลสาบยามานะคาโกะ –  วนอุทยานแห่งชาติฮาโกเน่ – ล่องเรือโจรสลัดทะเลสาบอาชิ – นั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่หุบเขาโอวาคุดานิ – ทะเลสาบฮามานะ – นาโงย่า

เช้า      รับประทานอาหารเช้า  ณ  ห้องอาหารของโรงแรม

จากนั้นเดินทางสู่ วนอุทยานแห่งชาติฮาโกเน่ นำท่าน นั่งเรือโจรสลัด ล่องทะเลสาบอาชิ (40 นาที) ซึ่งเกิดจากการก่อตัวของลาวาจากภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ท่ามกลางภูเขารายล้อมที่เป็นวิวสวยงามตัดกับพื้นน้ำ ในวันที่อากาศดีสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิระหว่างที่นั่งเรือด้วย จากนั้น นำท่านนั่งกระเช้าไฟฟ้าขึ้นสู่หุบเขาโอวาคุดานิ เพื่อชมบ่อน้ำแร่กำมะถันที่สามารถต้มไข่ให้สุกได้ และเชื่อกันว่า เมื่อกินไข่ดำ 1 ฟองสามารถทำให้อายุของท่านยืนขึ้นอีกประมาณ 7 ปี

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

บ่าย   พาท่านเดินทางสู่ ทะเลสาบฮามานะ ทะเลสาบที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาไหลที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น และยังเป็นจุดแวะพักที่ใหญ่ที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย (อิสระให้ท่านเลือกซื้อขนม ของฝากที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากปลาไหล) ...ได้เวลาอันสมควรเดินทางสู่เมืองนาโงย่า

ค่ำ      รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

นำท่านเข้าสู่ที่พัก โรงแรม ฮิลตัน นาโงย่า
3-3 SAKAE 1 CHOME, NAKA-KU, NAGOYA, JAPAN 4600008
TEL. 052-212-1111         FAX. 052-212-1225

ออกจากโรงแรม มุ่งหน้าสู่ สถานีกระเช้าไฟฟ้า (Hakone Ropeway)เพื่อ  ขึ้นสู่หุบเขาโอวาคุดานิ

ห้องขายตั๋ว กระเช้าไฟฟ้า

สักพัก กระเช้าไฟฟ้า ก็มาแล้ว

กระเช้า Hakone Ropeway เป็นกระเช้าไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ จุคนได้ประมาณ 8-10คน สามารถมองวิวด้านล่างได้ไกลมาก

ตอนแรก อากาศ ก็ยังดูดีอยู่ สามารถมองเห็น วิวรอบๆ ได้
ซึ่งปกติ จะสามารถมองเห็น ภูเขาไฟฟูจิ ได้ จากมุมมอง บนกระเช้าไฟฟ้านี้

พอไต่ระดับ ไปสักพัก เริ่มมองไม่เห็นอะไรแล้ว

จนมองไม่เห็นอะไรเลย
วันนี้ ทัศนวิสัย แย่มากๆ

เริ่มเห็นสถานีปลายทางแล้ว

ถึงสถานี โอวาคุตานิ (Owakudani) แล้ว... 909
วันนี้ คน ขึ้นมาเที่ยวไม่ค่อยเยอะ แหะ
อาจจะเป็นเพราะ อากาศ ไม่เปิด ก็ได้

สถานี Owakudani นี้มีจุด ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อคือ จุดสำหรับต้มไข่ในบ่อน้ำพุร้อนกำมะถัน หรือที่เรียกว่า Black egg (ไข่ดำ)
บริเวณนี้ เป็นภูเขาไฟเก่าจึงทำให้บ่อน้ำบนเขานี้มีความร้อนสูง จนสามารถ ต้มไข่ให่สุกได้ ซึ่งก็คล้ายกับ น้ำพุร้อน แถว สันกำแพง บ้านเรานี่เอง

แต่ที่แตกต่างก็คือ ไข่ที่ต้มที่เมื่อสุกแล้วเปลือกไข่จะเป็นสีดำ
เนื่องจากน้ำพุร้อนของที่นี่จะมีส่วนผสมของกำมะถัน (จะว่าไปแล้ว แถว เชียงใหม่ ก็มีกำมะถันอยู่นา......แต่ทำไม เปลือก ไม่เป็นสีดำ หรือ ว่าที่นี่แอบทาสีหรือเปล่า?)
จึงเป็นที่มาของชื่อ Black egg หรือ ไข่ดำนั่นเอง

เมื่อลงจากสถานี Owakudani ต้องใช้เวลาเดินไปตามทางประมาณ 15 นาที จึงจะไปถึงจุดที่สามารถต้มไข่ได้ โดยตลอดทางเดินจะได้กลิ่นฉุนของกำมะถันลอยมาแตะจมูก ถ้าใครไม่ชอบเหม็น ต้อง ทนหน่อย

แต่วันนี้ หมอกลง เต็มไปหมด มองไม่เห็นอะไรเลย
แถม อากาศ ก็ หนาวมากๆๆ เลยขออยู่ที่ร้านขายของที่ระลึก นี่แหละ

อีกอย่างหนึ่ง การต้มไข่ที่นี่ จะไม่เหมือนทางเชียงใหม่บ้านเรา คือ ไม่สามารถ ซื้อไข่มาต้มได้เอง
ต้องซื้อไข่ต้มสุกแล้ววางขายอยู่ต่างหากโดยจะขายเป็น แพ็คๆ ในราคาแพ็คละ 500 เยน
หนึ่งแพ็คมี 6 ฟอง รสชาติของไข่ต้มที่นี่ก็ไม่เห็นแตกต่างกับไข่ธรรมดา

แต่อย่างว่าละครับ ไหนๆมาถึงแล้ว ก็ต้องลองซื้อชิมกันดู เพราะคนที่นี่ เค้ามีความเชื่อ ว่าถ้ากินไข่ต้มที่นี่ 1 ฟอง จะมีอายุยืนยาวขึ้น 7 ปี

ร้านขายของที่ระลึกนี้ จะ มีขนมและของฝากมากมาย ขายอยู่

และ ด้านหน้าของร้าน จะมี รูปปั้น ของ เจ้า Kitty โผล่ออกมาจากไข่ดำ
ซึ่งปกติ คนจะแย่งกันถ่ายรูปที่จุดนี้ กันมาก

แต่วันนี้ โชคดี คนไม่เยอะ เลย....ได้ถ่ายรูป กับ เจ้า Kitty นี้อย่างสบายใจ

ขนมและของฝาก ของ ญี่ปุ่น นี่ อร่อย หรือ เปล่าไม่รู้?
แต่ แพคเกจจิ้ง ของเค้านี้ สุดยอด สมคำร่ำลือ จริงๆ
จะมีตัวอย่าง มีอธิบายว่าด้านใน มี หน้าตาอย่างไร และ ส่วนใหญ่ ก็จะมี ให้ชิมด้วย

แค่เดินดูอย่างเดียว ก็ เพลิน แล้วครับ  909

ได้เวลา ก็ ออกเดินทางมารับประทานอาหารกลางวัน แบบ เทมปุระที่ทอดด้วยตนเอง ที่ร้านนี้

 901

บรรยากาศ รอบๆ ร้าน

หลังจากนั้น ไปลงเรือ Hakone Sightseeing Cruise ล่องทะเลสาป Ashi

ตัวเรือ จะมี สีสันสวยงาม มีลักษณะคล้าย เรือโจรสลัดกัปตันฮุค

ได้เวลา ลงเรือแล้ว (มีเวลาออกด้วยครับ......ซึ่งต้องจองเวลาออก)

บรรยากาศ รอบๆ ทะเลสาป ขณะล่องเรือ
ซึ่งปกติได้เห็นวิวของภูเขาไฟ ฟูจิ Fuji.....
แต่วันนี้ อากาศ ไม่ดีเลยอดชม

เรือโจรสลัด อีกลำ

ใช้เวลา ล่องเรือ ประมาณ 40 นาที กลับไปขึ้นที่ท่า Tokendai-ko

ออกเดินทางสู่ ทะเลสาบฮามานะ ทะเลสาบที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาไหลที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น และยังเป็นจุดแวะพักที่ใหญ่ที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย

แค่ด้านนอก....ก็มี ร้านขายของ เพียบ   909

ยากิโซบะ ร้านนี้ อร่อย ตั้งอยุ่ด้านนอกอาคาร

เข้ามาดู ด้านในอาคาร กันบ้าง
มี โซน ร้านขายของที่ระลึก กับ โซน ศูนย์อาหาร
เด็กๆ อยากทาน ข้าวหน้าแกงกะหรี่ แต่ ไม่รุ้จะสั่งอย่างไร เพราะมีแต่ภาษาญี่ปุ่น
ความประทับใจ อีกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ คือ จะมีคุณป้าแก่ๆ (ในรูป ยืน ด้านหลัง)คอย พาไป ที่ตู้สั่งอาหารอัตโนมัติ

โฉมหน้า เจ้าตู้สั่ง อาหาร อัตโนมัติ
จริงๆแล้ว ก็มี วิธี การสั่ง
แต่มีแต่ภาษาญี่ปุ่น และ เมนูอาหาร โคตรเยอะ เลยไม่รุ้จะกด อันไหน ดี 912
แต่ ด้วยความใจดี ของคุณป้า คอย อธิบายอย่างละเอียด (ภาษาใบ้นะครับ)
และ พาไปรับ อาหาร ทำให้ ได้ประสบการณ์การสั่งอาหารที่สนุกไปอีกแบบ

และแล้ว ก็ ได้ทานแล้วครับ
ขอบคุณ คุณป้าที่ ศูนย์อาหารแห่งนี้ อีกครั้งนะครับ

ผมว่า เจ้าตู้เครื่องดื่มอัตโนมัติ
ก็น่าจะเป็นสัญญลักษณ์ อีก อันหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ได้ นะครับเนี่ย
ทุกอย่าง ดูดี น่ากดมาดื่ม ไปหมด ตั้งแต่ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ชา กาแฟ มีตั้งแต่ แบบเย็น และ แบบร้อน ด้วยนี่สิ สุดยอดเลย

พอดีเห็นเค้า กำลังเปิดตู้ เลย ขอดูเบื้องหลัง สักหน่อย

ผลิตภัณฑ์จากปลาไหล....สินค้าเด่นของที่นี่

ที่ญี่ปุ่น นี่ไม่ว่าไปที่ไหน สินค้าของฝาก โดยเฉพาะ พวกขนม.....จะ วางขาย อยู่ เป็นจุดเด่นแต่ละที่เยอะมากๆ

จากนั้น เดินทาง สู่เมือง นาโงย่า (Nagoya)
แวะ รับประทาน อาการเย็น ที่ร้านนี้

ร้านนี้ เป็นแนวปิ้ง-ย่าง  แบบ บุฟเฟต์ เติมไม่อั้น
แต่ วัตถุดิบที่ใช้ จะค่อนข้างดีและมีคุณภาพ
มีเนื่อและอาหารทะเล ให้เลือก  แช่ในตู้ เหมือน อยู่ใน ซุปเปอร์มาร์เกตเลย

เครื่องดื่ม ก็มีให้เลือก กด ตามใจชอบมากมายหลายชนิด

เส้นอุด้ง และ ราเมน แบบ ลวกเอง

ที่เด็กๆ จะชอบร้านนี้ คือ ให้ทำขนมเครปแบบญี่ปุ่น ด้วยตัวเองเลย.....

และ ยังมี ตู้ทำโรตี สายไหม....ให้ทำเอง ตั้งแต่ ขั้นตอน เติมน้ำตาล จนปั่น ออกมาเป็นสายไหมเลย

ใครได้ไป นาโงย่า....แนะนำ ลองไปทานที่ร้านนี้  รับรอง คุ้มมากๆ

ที่พักในค่ำคืนนี้ เป็น โรงแรม ฮิลตัน นาโงย่า (Hilton Nagoya)

เอารุป ห้องพักของโรงแรม ฮิลตัน นาโงย่า (Hilton Nagoya) มาฝาก
แต่ แนะนำ เลยครับว่า เป็นโรงแรม ที่ห้องค่อนข้างกว้าง กว่าหลายๆ โรงแรมในญี่ปุ่น และ เตียงก็ยังนุ่ม...นอนสบาย ครับ

มาสำรวจห้องน้ำ กัน นะครับ
โรงแรมนี้ห้องน้ำ ค่อนข้าง กว้างครับ ไม่ใช่ตู้พลาสติก แคบๆเหมือน โรงแรม หลายๆ โรงแรม ในญี่ปุ่น

อุปกรณ์ ก็ ให้มาครบครัน

พวก แชมพูสระผม, ครีมนวดผม และ น้ำยาสระผม  ใช้ของ ชิเชโด้ Shiseido

มุมเครื่องดื่ม มี ชากับกาแฟร้อน ไว้บริการ

สามารถใช้บริการ อินเตอร์เนท ความเร็วสูง ได้ฟรี ภายในห้องพัก

ตื่เช้ามา วันที่ 5 ของการเดินทาง
เปิดหน้าต่างจากห้องพัก เจอ วิวสวยๆ ของ เมือง นาโงย่า
มองเห็น สถานีรถไฟ แต่ไกล

มองไปที่ ป้ายไฟ ตึก ตรงข้าม
ขณะนี้เวลา เกือบ 7 โมงครึ่ง
โอ้โห....อุณหภูมิ ด้านนอก แค่ 9 องศา เท่านั้นเอง

หลังจากรับประทานอาหารเช้า ออกมาเดินสำรวจ โต้ลมหนาว ด้านหน้าโรงแรม ฮิลตัน นาโงย่า

บรรยากาศยามเช้า รอบๆ โรงแรม ดูสะอาด และ สงบเงียบดี

ตึกนี้อยู่ด้านหน้าโรงแรม...เป็นที่จอดรถ
แต่ สร้างได้ สมกับ เนื้อที่ดิน จริงๆ

มาดู โปรแกรมเที่ยว ในวันที่ 5 ของการเดินทางกันนะครับ

วันที่5 :   นาโงย่า – นั่งชินคันเซ็นสู่เมืองเกียวโต – ศาลาทองคินคาคุจิ – วัดคิโยมิสึ – โอซาก้า – ช้อปปิ้งย่านชินไซบาชิ           

เช้า      รับประทานอาหารเช้า  ณ  ห้องอาหารของโรงแรม

นำท่านเดินทางเข้าสู่สถานีไมบาระ เพื่อขึ้น รถไฟชินคันเซ็นความเร็ว 240 ก.ม./ช.ม. สู่สถานี เมืองเกียวโต พาท่านย้อนรอยวัฒนธรรมเมืองหลวงเก่าที่เป็นมรดกโลก นำท่านเที่ยว ศาลาทองคินคาคุจิ ซึ่งเคยเป็นบ้านพักตากอากาศของ โชกุน อาชิคางะ โยชิมิสึ ผู้โด่งดังในเรื่องอิคคิวซัง ศาลาทองแห่งนี้สร้างขึ้นในปี1955 หลังจากที่โดนไฟไหม้ไปเมื่อปี 1950 ซึ่งถอดแบบจำลอง
โครงสร้างจากของจริงๆ ในยุคศตวรรษที่ 14 ตัวอาคารมี 3 ชั้น เป็นเรือนสีทองทั้งชั้น 2 และ ชั้น 3 รวมไปถึง รูปหล่อนกฟีนิกซ์บนยอดของอาคาร ที่ยังเป็นจุดเด่นของ "ศาลาทอง" หลังนี้   จากนั้นนำท่านเที่ยวชม วัดคิโยมิสึ หรือ วัดน้ำใส เป็นวัดที่ใหญ่และเก่าแก่ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาฮิงาชิยาม่า และมีท่อนซุงวางเรียงซ้อนกันตามแนวนอนตั้งจากพื้นดินขึ้นมารองรับระเบียงของตัววิหารใหญ่ จากระเบียงแห่งนี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองเกียวโตได้งดงาม และเชิญดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์สามสายอันเกิดขึ้นจากธรรมชาติที่ไหลมาจากเทือกเขา

เที่ยง      รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร

บ่าย   ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางเข้าสู่ เมืองโอซาก้า นำท่านเพลิดเพลินกับการช้อปปิ้งใน
ย่านชินไซบาชิ ย่านช้อปปิ้งชื่อดังของเมืองโอซาก้า  ซึ่งมีสินค้ามากมายภายในย่านนี้  ไม่ว่าจะเป็นของฝาก ของที่ระลึก กล้องถ่ายรูปดิจิตอล  กล้องถ่ายวีดีโอ  เกมส์เพลย์สเตชั่น  ซีดีวอล์คแมน  และอื่น ๆ อีกมากมาย

ค่ำ      รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร

   นำท่านเข้าสู่ที่พัก โรงแรม โอซาก้า นิวฮันคิว
1-1-35 SHIBATA,KITA-KU,OSAKASHI   
TEL. 06-6372-5101      FAX. 06-6374-6885

โปรแกรมเช้าวันนี้.....ออกเดินทางสู่สถานีไมบาระ เพื่อขึ้น รถไฟชินคันเซ็นความเร็ว 240 ก.ม./ช.ม. สู่สถานี เมืองเกียวโต

มาถึงสถานี ไมบาระ (Maibara)แล้ว

เข้าไป ภายในสถานี เพื่อ ซื้อตั๋วรถไฟ

ภายใน ชานชาลา สถานี ไมบาระ

เวลาเจ้า รถไฟ ชินกันเซ็น วิ่งผ่านสถานี (ขบวนที่ไม่แวะ สถานีนี้)
ผมว่า น่ากลัวมาก เร็วมาก และ ใช้เวลา ผ่านเราไป ใช้เวลาไม่นาน
แบบว่า ยังไม่ทัน ตั้งตัว เผลอแป๊บเดียว ขบวนยาวๆ ผ่านเราไปแล้ว

เป็นทริปที่น่าไปมากเลย ดูแล้วเด็กๆคงจะชอบกันมาก

ประเทศในฝันเลย......อยากไปที่สุดดดด

อยากไปมั่งจัง สวยจริง ๆ  :11:

ขอบคุณค่ะสำหรับรูป เหมือนได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นมาเองเลย หุหุหุ  903

ขอบคุณ คุณ love_travel , pajingo ,Focus,Forever ฺBlessing และ คน อ่าน ทุกคนครับ
ที่เข้าแวะ มา ชม รีวิว  903

ยังรีวิวไม่ครบ......ไว้ หาเวลาเวลาว่าง จะมารีวิว วันที่เหลือ ต่อไปนะครับ

หน้าตาของเจ้า ชิงกันเซ็น (แต่ไม่ยอมจ่าย)Shinkansen
รถไฟหัวจรวด (Japanese Bullet Train)  ของ ญี่ปุ่น เค้า

เข้ามาสำรวจด้านใน รถไฟ กัน บ้างครับ
เบาะนั่ง ก็จะคล้ายเครื่องบิน

ที่ว่างด้านหน้าเบาะ ก็ กว้างดีครับ.....เวลานั่ง  ไม่อึดอัด

 :01:หน้าตารถไฟน่ารักดีจังเลยค่ะ แต่ของเค้าคงไม่เป็นแบบของไทยใช่ป่ะคะ ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง+แถมเวลาให้ผู้โดยสารด้วย อิอิ :26:

เห็นอยากไปมั้งจัง อยากนั่งรถไฟแบบนี้อ่ะ
javascript:replaceText('%20917',%20document.forms.postmodify.message);

ใช่แล้วครับ  :111:
การเดินทางในญี่ปุ่นมีหลายรูปแบบ แต่ที่นิยมกันมากที่สุด คือ รถไฟ นี่แหละครับ
แต่รถไฟที่ญี่ปุ่น ต่างจาก รถไฟ บ้านเราโดยสิ้นเชิง..อย่างที่รู้ๆกัน ครับ
เนื่องจาก รถไฟบ้านเค้า รวดเร็วและประมาณเวลาได้แน่นอน...รถไฟจะมาตรงตามเวลาเปะ....ตาม ป้ายบอกเวลา
ผมว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ส่งผลให้คนญี่ปุ่น เป็นคนที่ตรงเวลามาก ครับ  905

เวลาไป ญี่ปุ่น ผมว่า การเดินทาง เที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ โดย รถไฟ ผมว่า เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจ อีกแบบครับ
ซึ่ง ผม ดูๆ แล้ว เดี๋ยวนี้เราไป ญี่ปุ่น ได้ไม่ยากครับ....และ ตามสถานที่ต่างๆ เริ่ม มีป้าย ภาษาอังกฤษ มากขึ้น
ผิดกับ เมื่อก่อน มีแต่ ภาษาญี่ปุ่น เพียงอย่างเดียว

มาว่ากัน ต่อ เรื่อง ชินกันเซ็น นี่เลยครับ
เจ้ารถไฟ นี่ เวลาที่วิ่ง ด้วยความเร็วสูงสุด นี่ เกือบ 300 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง
แต่ นั่ง อยู่ นี้ มันนิ่ง....จนแทบไม่รู้สึกเลย

และ เจ้า รถไฟชิงกันเซ็น ก็มาถึง สถานีรถไฟ เกียวโต

และ ก็ เริ่ม เดินๆ ไปยัง ด้านล่างสถานี

บรรยากาศ ภายใน สถานีรถไฟ เกียวโต (Kyoto Station)
เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย

หยุดดูวิถีชิวิต คนญี่ปุ่น เค้าเร่งรีบ หรือว่า เค้าเดินเร็ว  905

เดินออกจาสถานี..ก็เจอ ตัวการ์ตูน เจ้าหนูปรมาณู
เข้าใจว่า เจ้าการ์ตูน เรื่องนี้ น่าจะ ถือกำเนิด จาก เมืองนี้

ออกจากสถานี ก็จะเจอ เกียวโตทาวเวอร์(Kyoto Tower)  ตั้งเด่น อยู่ด้านหน้า แสดงว่า ว่าถูกเมืองแน่ๆ

Kyoto Station ไม่ว่าจะมาจากแห่งหนตำบลไหนก็ตาม
รถบัสหรือรถไฟ จะ ไปจอดที่ Kyoto Station ซึ่งเป็นท่ารถขนาดใหญ่และ มีหลายชั้น

มาทำความรู้จัก กับ เมืองเกียวโต สักหน่อยนะครับ
เกียวโต (Kyoto) เป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ คินคิ (kinki) เป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากนัก
มี พื้นที่แค่ประมาณ 610 ตารางกิโลเมตร และ มีประชากร อาศัยอยู่ประมาณ 1.4 ล้านคนเท่านั้น

เนื่องจาก  เกียวโต เป็นเมืองเก่าแก่ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ จึง หนีไม้พ้น ปราสาท พระราชวัง หรือ วัดวาอาราม
ก็ คล้ายๆ กับ เวลาไปเที่ยว อยุธยา บ้านเรา นี่แหละครับ

เริ่มต้นเที่ยว ที่ วัด เคียวมิซึ เดระ (Kiyomizu-dera Temple)ก่อนเลย
วัด เคียวมิซึ เดระ หรือ รู้จักกันในนาม ของ วัดน้ำใส ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเมือง
วัดนี้เป็นวัดชื่อดังที่พลาดไม่ได้เลย สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน เกียวโต
วัดนี้ตั้งอยู่บนเขา เมื่อลงรถบัสแล้วจะต้องเดินขึ้นเขา อีกสักระยะ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที

ระหว่างทางขึ้นวัด มี ร้านค้า ให้ช้อปปิ้ง กันเพลิน

รูปหมดแล้วเหรอค่ะ อยากดูอีกจังเลย ถ่ายรูปสวยมากๆเลยค่ะ  :onio:

อยากไปเที่ยว ญี่ปุ่น จังเลยยยยยยยยย   909

ขอบคุณมากๆครับ...ที่เข้ามาชม  903

รูป และ เรื่องราว ยังไม่หมดครับ......

หาเวลามา โพสท์เพิ่ม ครับ

วัดที่ ญี่ปุ่น เวลาเข้าไป เยี่ยมชม ต้องซื้อ ตั๋วเข้าชม ด้วย...ไม่เหมือนวัดเมืองไทย เลย

วัดนี้ เปิดให้เข้าชม ตั้งแต่ 6.00 - 18.00 น.

ตั๋วค่าเข้าชม ประมาณ 300 เยน (101 บาท)

เจอกลุ่ม นักเรียนญี่ปุ่น มาทัศนศึกษา กลุ่มใหญ่

ที่วัด จะมีลานกว้าง เป็น...จุดชมวิว

วิวสวยๆ ที่ มองจากจุดชมวิว

ซึ่งจุดนี้ เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของวัดนี้ ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวในหลายๆ ช่วงเวลา ก็จะได้เห็นสีสันของต้นไม้ บริเวณหุบเขา ในหลากหลายบรรยากาศได้

อีกอย่างที่ผมสังเกตุ..จะเห็นว่าที่ เกียวโต  905
จะเห็น ผู้หญิงญี่ปุ่น ใส่ชุด กิโมโน มากกว่า เมืองอื่น

ทำให้ได้บรรยากาศ เหมือนมา ญี่ปุ่นแท้ๆ

ตัววัด Kiyomizu-dera สร้างจากไม้และยกพื้นสูง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม ที่สวยงามและน่าทึ่งมาก 914

มองเห็น ธารน้ำ 3 สาย...ซึ่ง น่าเป็นสัญญลักษณ์ อีกแห่ง ที่ ใครมาเที่ยว ญี่ปุ่น จะจดจำได้ดี

จากนั้นเดินลงบันได เพื่อที่จะไปยัง ธารน้ำ 3 สาย ซึ่งจะไหลลงมาจากหุบเขา ตลอดทั้งปี โดยน้ำที่ไหลลงมาจะใสมาก

ทางวัดได้จัดเตรียม กระบวย ไว้บริการ ให้เรารองน้ำ เพื่อดื่มชิรสชาติของน้ำบริสุทธิ์ ทั้ง 3 สาย นี้อีกด้วย

เคยไปมาแล้วค่ะ เมื่อ 2 ปีก่อน
อยากไปอีกค่ะ มีที่สวยๆอีกเยอะค่ะ
ไปกับทัวร์สิคะ รับรองว่าเที่ยวคุ้มสุดๆ

คนเยอะจังแต่ชอบวิวที่วัดนะสวยดี

น้ำแต่ละสายมีความหมายที่แตกต่าง กันไป

สายที1 หมายถึง ประสบความสำเร็จ ทางด้านการศึกษา

สายที2 หมายถึง สมหวังเรื่องความรัก

สายที3 หมายถึง สุขภาพแข็งแรง

คนที่ญี่ปุ่น เค้า บอกว่า ต้องชิมให้ครบ ทั้ง 3 สาย เพื่อความเป็นสิริมงคล

ชอบไอเดีย เค้าจริงๆ สำหรับ ญี่ปุ่น เนี่ย....เอาเรื่องง่ายๆ ธรรมดาๆ เป็นเรื่องเป็นราว ได้ทุกที่

เอารุปมารีวิว..แบ่ง ปัน กัน ชมก็ได้นะครับ  912

ครับ คนเยอะมาก

แถม คนที่มาเที่ยว เป็นคนญี่ปุ่น เสียส่วนใหญ่

แบบว่าที่นี่ เค้า ส่งเสริม เน้นคนในประเทศ เค้าเที่ยวในประเทศก่อน......ไม่รังเกียจ หรือ ดูถูก คนชาติเดียวกัน  904

.....ชอบ นโยบาย บ้านเค้าจริงๆ  :onio:

ผมชอบสีเขียวของต้นไม้ที่ ญี่ปุ่นครับ
โดยเฉพาะ เวลา ตัด กับ ดอกซากุระ สวยมาก  :11:

 901

อยากใส่ชุดกิมโมโนจังค่ะ ต้นซากุระก็สวยค่ะ

ขากลับจากวัด...ต้อง ผ่าน ร้านค้า ที่เรียงราย อยู่ 2 ข้างทาง
เท่าที่ สังเกตุ ดู ทุกร้าน จะมี คนซื้อ และ คนซื้อ ก็ เป็น คนญี่ปุ่น นั่นแหละครับ
อย่างเช่น ร้านนี้ เป็น ร้านขายขนม....มีกลยุทธ ดึงดูด ลูกค้า ด้วยการ แจกให้ชิมฟรี อยู่ ด้านหน้าร้าน

ผมว่า ดูๆ ไป แล้ว ขนม ญี่ปุ่น นี่มันมี อยู่ 2 ชนิด ตามที่เค้า บอกมา นั่นแหละครับ
คือ แป้ง ห่อ น้ำตาล กับ น้ำตาลห่อแป้ง

แต่ คนก็ แย่งกันซื้อ อย่างกะ แจก ฟรี!!

เท่าที่ ผมสังเกตุ ดู เวลาไปตาม สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ คนญี่ปุ่น จะเป็น คนที่ ซื้อของเก่งมาก

ไม่ว่าร้านเล็กๆ หรือ ร้าน ขนาดใหญ่ ก็จะมี คนไปซื้อของ

ผม ว่า มันเป็นผลดี ทำให้ เกิด ระบบเงินหมุนเวียน กระจายรายได้

ถ้ามาเปรียบเทียบกับบ้านเรา....บางที การขายของ ต้องรอ คนต่างชาติมาซื้อ

ส่วนคนบ้านเรา บางครั้งจะ เลือกใช้วิธี เดินดูเฉยๆ มากกว่า

บางร้าน มีขนม วางไว้บนตุ๊กตา
ไม่รู้ เค้าไว้โชว์ หรือ ไว้ให้ชิม  916

อันนี้ เป็น ร้านขาย ไอติม

จนมาเจอ ร้านขายกาแฟ
เห็น แล้ว นึกถึง ร้านกาแฟ ชื่อดัง แถว อ.ปาย

อันนี้ เล่น ยกไป ทั้งแก้วเลย

ใครจะเปิดร้านกาแฟ เอา ไอเดีย ไปใช้ ก็ได้นะครับ  :16:

มื้อกลางวัน ไกด์ พาไปทานที่ร้านนี้

อ่านชื่อร้าน ไม่ออกรู้แต่ว่า เป็นร้านที่ ซูโม่ ชื่อดัง ของญี่ปุ่น มักจะ แวะมาทาน ประจำ

ทางเข้าร้าน อย่างแคบเลย
เลยสงสัยว่า นักซูโม่ มันขึ้นไปได้อย่างไรหว่า  905

อาหาร ของร้านนี้ ก็จะเป็น พวก สุกี้ในแบบฉบับ ของญี่ปุ่น
แต่ผมว่า ทานในแบบฉบับ ของ บ้านเรา อร่อยกว่าเยอะ

ขอบคุณ ที่ ติดตามมาชมครับ

ผมว่า ชุด ม่อฮ่อม บ้านเรา ก็ สวยไม่แพ้ กัน ครับ.  913

ยังมีหลายร้านที่น่าสนใจ ถ้ามีโอากาสก็แวะไปนะคะ

เห็นสุกี้ญี่ปุ่นแล้วน่ากินจังเลย :10: :11:

เห็นแล้วนึกถึงเอ็มเคสุกี้บ้านเรา อิอิอิ  914

ดอกซากุระ ก่ะ ต้นไม้เขียว ๆ นี่ สวย สบายตาจริง ๆ ค่ะ  :11:

ขอบคุณ คุณสาวเจียงใหม่ ,mindchan,  dark_sky , Smart_Addiction ,Focus  มากนะครับ ที่ เข้ามาชม รีวิว
และ ช่วย เม้นท์ให้  903
ยัง รีวิว ไม่หมด สักที....ดอง ไว้ จนเค็มแล้ว  912

ปล. สุกี้ บ้านเรา โดยเฉพาะ น้ำจิ้ม อร่อย ที่ซู้ดดดดด...แล้วครับ  909

หลังจากนั้น ช่วงบ่าย มีโปรแกรม ไปเที่ยว วัด คินคะคุจิ หรือ วัดทอง (Kinkaku-ji temple) ต่อ

แต่ ฝนตก มา ตลอด เลย ถ่ายรูป ไม่สวยเลย
ตอนแรก นึกว่า ฝนตก จะไม่มี คนมาเที่ยว หรือ มาเที่ยวน้อย
ที่ไหนได้ ....คนญี่ปุ่น นี่ ไม่สะทกสะท้าน เวลาฝนตกเลย
เดินเที่ยว กัน ปกติ

วัด คินคะคุจิ หรือ วัดทอง (Kinkaku-ji temple)  เป็นวัดแบบ เชน
ตั้งอยู่ ตอนเหนือ ของเมือง เกียวโต เมื่อเดินเข้าไปในวัดจะเห็น ปราสาท สีทอง อร่าม ตั้งเด่นเป็นสง่า ท่ามกลางทะเลสาบอันนิ่งสงบ

ในส่วนของปราสาททองนั้น จะมี 3 ชั้น
โดย ชั้นที่ 1 เรียกว่า Shinden-Zukuri (ซินเดน ซุคุริ) ซึ่งเชื่อกันว่าเป้นที่อยู่ ของ โชกุน

ชั้นที่ 2 เรียกว่า Buke - Zukuri (บุเคะ ซุคุริ) เป็นบ้านของซามูไร ผู้มีหน้าที่ อารักขา โชกุน

ส่วนชั้นที่ 3 เป็นวัดเชน

บึงที่ล้อมรอบ ตัววิหาร อยู่ เรียว่า "สระเกียวโกะ" (แปลว่า สระ กระจกเงา)

ถ้าจังหวะที่น้ำนิ่งๆ เราจะเห็นภาพสะท้อน ของ อาคารหลังนี้ ในบึงสวยงามมาก

เย้เย้...ได้ดูรูปสวยๆอีกแล้ว

ชอบรูปที่เป็นต้นไม้สีเขียวๆค่ะ ถ่ายสวยมากๆชอบๆๆๆๆ  :onio:

ชอบดอกซากุระค่ะ
ครั้งที่แล้วไปไม่ทันดูดอกซากุระ อยากไปอีกจัง

คุณ mindchan เอา รูปทริป ญี่ปุ่น มาแบ่งปัน กัน ชมบ้างก็ได้นะครับ  908

ก่อนลาจาก เกียวโต

เกียวโต มี ขนม ของฝาก อยู่ อย่างหนึ่ง ที่ คนไทย ฮิตกันมาก ......

แบบว่า ใคร มาเที่ยว ญี่ปุ่น ห้ามพลาด ซื้อ สินค้า นี้กลับไปเป็นของฝาก

ลองทาย ดู ซิครับ ว่าเป็น อะไร  :1001:

ใช่ขนมถั่วลันเตาที่อร่อยกว่ากรีนนัทบ้านเราเป็นสิบๆเท่ารึเปล่าคะ อิอิอิ  :111:

555 คุณ Smart_Addiction เกือบ ถูกครับ มันสีเขียว เหมือนกัน

เจ้าขนมที่ว่านี่ คือ  เจ้า KitKat รส ชาเขียว นั่นเอง

สารภาพ ตามตรงว่า ตอนแรก ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่เห็น ไกด์ ซื้อกลับ ไป เพียบเลย
เลยเพิ่งมารู้ว่า เป็นที่ นิยม ซื้อ กลับไปเป็น ของฝาก

ผม เลย ได้ แบ่ง มา แค่ 1 กล่อง (เอาไว้ มา ประดับ ความรู้...555)

ทำไม คนถึง นิยม ซื้อ kitkat รส ชาเขียว จากที่นี่ นั่นเหรอครับ

ก็ เพราะว่า เจ้า kitkat รส ชาเขียว มีขายที่ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะ ที่ เกียวโต เท่านั้น (ลองสังเกตุ คำว่า Kyoto Limited ด้านข้างกล่อง ดูนะครับ)

ไม่สามารถ หาซื้อ ได้ที่อื่น ในโลกนี้ (เข้าใจและทึ่ง  :46: ใน...ไอเดีย คนทำการตลาด เค้า เลยจริงๆ  917)

เจ้าขนมที่ ว่า เลยกลายเป็น ของหายาก ไปซะงั้น

อย่าลืม!! นะครับ ใครมีโอกาส ไปเที่ยว ญี่ปุ่น มองหาเจ้าขนมที่ว่านี้ แล้ว ซื้อ กลับมาเป็นของฝาก ซะ ไม่งั้นเดี๋ยว ตก เทรน แบบผม 916

อยากทานจังเลยคร๊าบบบบบบบ งึมๆๆ  :22:

ปกติก็ชอบทาน คิตแคทและชาเขียวอยู่แล้ว ถ้าได้ทาน คิตแคทชาเขียว คงวิเศษไม่น้อย  :11: :11:

ครับ...มันเป็น ความผิด ของกระผมเอง  912
ถ้า รู้ว่า เค้า ฮิต กัน จะ ซื้อ มาฝากแล้ว  909

 :10:ชอบช็อคโกแลตที่สุดเลย ยิ่งเห็นรูปแล้วอยากรู้ว่า import จากญีปุ่นกับของไทยรสชาติจะเหมือนกันไหม 902

มาส่งการบ้านต่อครับ
(กว่าจะรีวิว ทริปนี่ จบ..สงสัย ใช้เวลาเป็นปีแหงๆ)  912

ต่อจากเที่ยวเมืองเกียวโต ก้ มุ่งหน้า สู่เมือง โอซาก้า
ก่อนเข้าโรงแรม ก็ แวะ ช้อปปิ้ง
ย่านชินไซบาชิ ย่านช้อปปิ้งชื่อดังของเมืองโอซาก้า 
วันนี้ที่โอซาก้า ฝนตก...เดินไม่สนุกเลย ทั้งเปียก ทั้งหนาว 914

ลืมตอบคำถาม

ไม่ต้องห่วงครับ.....ฝาก เค้าซื้อมาให้แล้วครับ

ล้างท้องไว้รอชิมได้เลย

ปล.ใครต้องการชิม ลงชื่อ ไว้ได้เลยครับ  :111:

มุม...มหาชน
ใครมา โอซาก้า เวลาเดินช้อบปิ้ง ย่านชินไชบาชิ
ต้องถ่ายรูป กับ เจ้าป้ายโฆษณา กูลิโกะ นี้

จริงๆแล้ว ยังมี เจ้าปูยักษ์ อีกหนึ่งมุม แต่ เนื่องจาก ฝนตกหนักมากๆ เลยไม่ได้ถ่ายเลย

เดินผ่าน ตู้ปลาร้านหนึ่ง
ไม่ใช่ อควอเรี่ยม นะครับ...แต่เป็นปลา ที่นำไปทานอาหารได้ทั้งนั้น
และเป็นปลาแปลกๆ ซึ่ง บ้านเรา ก็หาดูยากอยู่แล้ว เช่น ปลา กระเบน (อืม...คนเรานี้ก็กินได้หมดเลยแหะ)

โฉมหน้า เจ้า ปักเป้า
ใครอยากลองทาน ก็ สั่งได้เลย

คืนนี้ พักที่ โรงแรม โอซาก้า นิวฮันคิว

มีตุ๊กตา นักรบโบราณญี่ปุ่น ตั้งอยู่ ในล้อบบี้ของโรงแรม

เอารูป ของสภาพภายในห้องพัก มาฝาก เผื่อเป็นข้อมูล เวลาใครที่ต้องการไปพัก
สภาพ ภายในห้อง ก็พอใช้ได้ ไม่ถึงกับใหม่มาก

มาดู สภาพของห้องน้ำ กันบ้าง
ก็ เป็นปกติ..เหมือนห้องน้ำตามโรงแรมในญี่ปุ่น ทั่วๆไป

สรุปว่า โรงแรมในญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้ พวกสบู่ แชมพู ....นี้จะอยู่ใน กระปุกหมด
ไม่มี แบบขวดเล็กๆ หรือ แบบซอง แบบใช่ไม่หมดเอากลับบ้านได้ เหมือนกับโรงแรมในเมืองไทยของเรา ที่ยังคงใช้กันอยู่

ป้ายแนะนำ มีชื่อ แม่บ้านติดอยู่
โรงแรมไหน จะเอาไอเดีย ไปใช้ก็ได้นะครับ

 :10:อยากไปนะแตา :12:งบไม่มี5555

ตื่นเช้า ขึ้นมาในวันใหม่
มองออกไปนอกหน้าต่างโรงแรม เพื่อ ชมวิว ของนครโอซาก้า
โห...ทำไมเงียบจัง ผิดกับเมื่อตอนกลางคืน ผู้คนทำไมพลุกพล่านเต็มไปหมด

หน้าตาของโรงแรม โอซาก้า นิวฮันคิว (Osaka New Hankyu)ที่เข้าพัก เมื่อคืนนี้

และเอาข้อมูล คร่าวๆ ของเมือง โอซาก้า มาเสนอ

Osaka ตั้งอยู่ในเขต คินคิ (Kinki) เป็นเมืองที่ใหญ่ เป็นอันดับ3 ของญี่ปุ่น รองจาก Tokyo และ Yokohama อีกทั้งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเมืองท่าขนส่งสินค้าและวัตถุดิบที่สำคัญตั้งแต่อดีต ซึ่งบรรดาพ่อค้าจากทั่วสารทิศ ทั้งในญี่ปุ่น จีน และ เกาหลีต่างหลั่งไหลมาที่นี่จนทำให้ โอซาก้า เป็นศูนย์กลางทางการค้าและอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมศิลปะการแสดงดั้งเดิมของญี่ปุ่นอีกด้วย

เมืองนี้เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายบรรยากาศให้เลือก มีทั้ง ปราสาท วัด และ ศาลเจ้า
นอกจากนั้นยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องแหล่งช้อปปิ้ง แฟชั่น และ อาหารอันโอชะอีกด้วย

จริงๆแล้ว ที่ โอซาก้า มีที่ท่องเที่ยว ที่ น่าไป ชม อยู่หลายแห่งด้วยกัน เช่น ปราสาทโอซาก้า (Osaka castle) แต่เนื่องจากมีเวลาเที่ยวน้อย ก็คือ เหลืออยู่ 1 วัน
จึงไปเที่ยวได้แค่ Universal studios japan ซึ่ง โปรแกรมเที่ยวของทัวร์ มีดังนี้

เช้า   รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ทีมพาร์คชื่อดังของญี่ปุ่น ทีมพาร์คที่แรกที่จะทำให้ทุกท่านรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกแห่งภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด โอซาก้า ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ พบกับเครื่องเล่นมากมายที่ถูกสร้างขึ้นมาจากภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงมาแล้วก้องโลก ไม่ว่าจะเป็นจูราสิค พาร์ค ย้อนยุคไปในโลกของไดโนเสาร์ , ขี่จักรยานตามหาเพื่อนรักไปกับอี.ที. , ช่วยกันดับไฟในภาพยนตร์เรื่องแบ็คดราฟท์ , ทะลุมิติกับคนเหล็กอาร์โนลด์ , หลีกหนีการไล่ล่าของฉลามยักษ์จอวส์ , ตามสไปเดอร์แมนปฏิบัติภาระกิจอย่างใกล้ชิดไปกับเครื่องเล่นสิมูเลเตอร์ , ดูหนังสี่มิติ ชมความน่ารักสดใสของผองเพื่อนเซซามี่ สตรีท หรือเชร็ค ตัวเขียว กับเจ้าหญิงและเพื่อนลาคู่ใจ  นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นตัวอื่น ๆ ที่สนุกแต่แนะนำไม่หมดอีกหลายอย่างให้ทุกท่านได้ลองไปสัมผัส แต่ต้องขอแนะนำเพิ่มนิดนึงกับเครื่องเล่นตัวใหม่ที่เพิ่งจะเปิดเมื่อปี 2007 ฮอลลีวู้ด ดรีม รถไฟเหาะที่ตื่นเต้นเร้าใจ โดยเฉพาะท่านที่นั่งริม เพราะด้านข้างของตัวรถไฟจะไม่มีที่กั้น ให้ท่านได้รับลมเย็นแบบตรง ๆ พร้อมชมวิวจากด้านบนของโลกภาพยนตร์แห่งนี้ไปในตัว   
*** ตั๋วแบบพาสปอร์ตจะพาทุกท่านจุใจกับเครื่องเล่นทุกอย่างได้แบบไม่อั้น จะกี่เครื่องเล่น และกี่รอบก็ได้ ให้ทุกท่านได้สนุกกันเต็มที่ ***
กลางวัน   อิสระอาหารกลางวันตามอัธยาศัย
บ่าย   ให้ท่านได้เพลิดเพลินกันต่อกับเครื่องเล่นมากมายที่ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ...
ค่ำ      รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
   นำท่านเข้าสู่ที่พัก KANSAI AIRPORT WASHINGTON HOTEL
    1-7 RINKUORAI-KITA, IZUMISANO – SHI, OSAKA,JAPAN 598-8522
   TEL : 072-461-2222        FAX : 072-461-4522

8 โมงเช้า ถึง Universal studios รีบไปแต่เช้า เพราะ จะได้มีเวลา เล่นทั้งวัน
แต่ไปถึง โอ้โห..ว่ามาเช้าแล้วนะเนี่ย  914

รถยนต์ ยัง จอดเต็มเลย

แปลงดอกไม้สีสดสวย กับ ทางเข้า Universal studios Japan

มาลงชื่อ รอชิม ช็อคโแล็ต  :onion2012: แต่อยากลิ้มลองรสถั่วสีเขียว ๆ ที่ชื่อ พิสตาซิโอ้ (เขียนแบบนี้ป่าวหว่า) อีกซักครั้ง  912

ล้างท้อง รอ ได้เลยครับ  913

ขอบคุณมากค่ะ ได้ชิมKitKatชาเขียวของญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้วค่ะ ตอนนี้รอชิมถั่วเขียว หุหุหุ(ไม่ค่อยตะกละเลย)  :onion2012:

รับทราบครับ  :16:

ต้องขอขอบคุณ กัปตันเป้....นักบินหนุ่มหล่อ จาก สายการบินไทย มากครับ

ที่อุตสาห์ ไป หาซื้อ มาให้

และให้ข้อมูลมาว่า เจ้าขนมชาเขียว นี่หายาก เหมือนกันนะเนี่ยยยยยย

สำหรับ รีวิว ที่ สวนสนุก Universal Studios Japan ผมแยกรีวิว ไว้อีก หัวข้อ ลอง เข้าไปติดตามชมได้ครับ ที่ลิงค์

http://www.teawchiangmai.com/chiangmaiboard/index.php/topic,3199.0.html

ค่ำคืนนี้ พักที่ โรงแรม Kansai Airport Washington Hotel เพราะ พรุ่งนี้ จะกลับเมืองไทยแล้ว.....โรงแรม นี้ จะอยู่ใกล้สนามบิน คันไซ( Kansai Airport)
ตอนเช้าจะได้ไม่เสียเวลาเดินทางมา ยังสนามบิน

นึกแล้ว อิจฉาจังหวัดเชียงใหม่ บ้านเรามากที่สุด ที่สนามบินอยู่ในตัวเมืองเลย  913

โรงแรมนี้จะมีจุดเด่น ตรง บันได ขนาดใหญ่ ที่ เวลา คู่บ่าวสาวมาจัดงานแต่งงานที่นี่ มักจะถ่ายรูปกันที่บันไดนี้

โรงแรมนี้ ถึงแม้จะออก นอกเมืองมาหน่อย แต่ ก็มี Family Mart เปิดตลอด 24 ชั่วโมง อยู่ภายในโรงแรม เอาไว้มาเดินซื้อของ โดยเฉพาะตอนกลางคืน

เช่นเคยครับ เก็บภาพภายในห้องพักของโรงแรม Kansai Airport Washington Hotel
มาฝาก รวมถึง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็มีมาให้ครบครัน

และแล้วก็มาถึงวันสุดท้ายแล้ว
โปรแกรมทัวร์ วันสุดท้าย เป็นดังนี้
   สนามบินคันไซ – กรุงเทพฯ
เช้า   รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
   จากนั้นนำท่านเดินทางสู่สนามบินคันไซเพื่อกลับสู่กรุงเทพฯ
11.00 น.   เหินฟ้ากลับสู่ประเทศสิงคโปร์ โดย สายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์  เที่ยวบินที่  SQ 619   
16.30 น.   เดินทางถึงสนามบินชางฮี ประเทศสิงคโปร์ เพื่อรอเปลี่ยนเครื่อง
18.35 น.   เดินทางต่อสู่กรุงเทพฯ โดยสายการบินสิงคโปร์ แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ SQ 978
20.00 น.   เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ

เดินทางถึงสนามบิน คันไซ อย่างที่ทราบกันดีนะครับว่า เป็นสนามบินที่ลงทุนถมทะเลเพื่อก่อสร้างสนามบินโดยตรงแล้วสร้างสะพานเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินใหญ่ ต้องขึ้นรถรางไฟฟ้าต่อไปลงที่อาคารขาออก สนามบินนานาชาติคันไซ (Kansai International Airport หรือ KIX) ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นเกาะสนามบิน เพราะมันคือสนามบินที่ตั้งอยู่บนเกาะ แต่เป็นเกาะจำลองที่สร้างขึ้นจากขยะที่ถูกอัดบีบจนแน่นแล้วนำมาถมทะเลจนกลายเป็นเกาะ

Kansai Airport was opened in 1994, (13ปี) เป็นสนามบินที่ลงทุนถมทะเลเพื่อก่อสร้างสนามบินโดยตรงแล้วสร้างสะพานเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินใหญ่ ต้องขึ้นรถรางไฟฟ้าต่อไปลงที่อาคารขาออก สนามบินนานาชาติคันไซ (Kansai International Airport หรือ KIX) ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นเกาะสนามบิน เพราะมันคือสนามบินที่ตั้งอยู่บนเกาะ แต่เป็นเกาะจำลองที่สร้างขึ้นจากขยะที่ถูกอัดบีบจนแน่นแล้วนำมาถมทะเลจนกลายเป็นเกาะ สนามบินคันไซสร้างขึ้นทางใต้ของอ่าวโอซาก้า เริ่มเปิดใช้เมื่อ 4 กันยายน ปีค.ศ. 1994 โดยที่ขอบของสนามบินที่กั้นน้ำทะเลนั้นทำจากหินและคอนกรีต แต่ตัวเกาะที่สร้างเป็นภูเขาสามลูกนั้นเธอคงจะเคยได้ยินมาบ้างนะจ๊ะ ว่าสร้างมาจากขยะในบ่อฝังกลบ(landfills) จำนวนถึง 21 ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้คนงานถึง 10,000 คน กินเวลา 10 ล้านชั่วโมงการทำงาน และใช้เวลาสร้างกว่าจะแล้วเสร็จถึง 3 ปี (สร้างในปี 1987 ถึงปี 1990) ใช้เรือถึง 80 ลำ เพื่อที่จะถมพื้นของสนามบินหนา 30 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลรวมถึงการประกอบผนังกั้นน้ำทะเลให้สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังได้สร้างสะพานระยะทาง 3 กม. ด้วยสนนราคาค่าก่อสร้างอีก (แค่) หนึ่งพันล้านดอลล่าสหรัฐเชื่อมระหว่างสนามบินกับตัวเกาะหลักของญีปุ่นที่เมือง Rinku ด้วยนะ ที่มาของการริเริ่มไอเดียประหลาดนี้ ก็เนื่องจากว่า ตั้งแต่ปี 1960 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไปกระจุกอยู่ที่โตเกียวที่เดียว นักวางผังก็เลยมีโครงการที่จะสร้างสนามบินแถบบริเวณใกล้ๆ โอซาก้าและโกเบ แต่เนื่องจากว่าสนามบินโตเกียวใหม่หรือสนามบินนาริตะที่ตั้งอยู่ที่จังหวัดชิบะนั้นได้เกิดปัญหามลภาวะทางเสียงและถูกร้องเรียนมามาก ดังนั้นการสร้างสนามบินแห่งใหม่จึงต้องคำนึงถึงปัญหานี้เป็นหลัก การจะขยายสนามบินจากสนามบินภายในประเทศคือ Osaka airport (Itami airport) ซึ่งล้อมรอบไปด้วยชุมชนที่อยู่อาศัยและตึกใหญ่น้อยของเขต Itami และ Toyonaka นั้นเป็นไปได้ยาก จึงได้มีโครงการจะสร้างแถบนอกชายฝั่งจ้ะ เดิมทีเดียวนี่เขาจะขอสร้างที่บริเวณใกล้ๆ เมืองโกเบจ้ะ แต่ทางการของโกเบปฏิเสธ ก็เลยต้องย้ายลงมาทางใต้หน่อยคือบริเวณอ่าวโอซาก้า ซึ่งแถวๆ นั้นมีแต่พวกชาวประมงท้องถิ่นอาศัยอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะขอสร้างได้ง่ายดายนะ ชาวประมงก็รวมตัวประท้วงต่อต้านการก่อสร้างเหมือนกัน แต่ก็เหมือนที่มีคำพูดแบบไทยๆ นะจ๊ะ ว่า "เงินเนี่ยมันทำได้ทั้งง้างปากและปิดปากคนได้" หลักการนี้มันใช้ได้นานาชาติจริงๆ นะ เรื่องราวก็เลยเงียบลงได้ด้วยค่าชดเชยก้อนโตจ้ะ เธอคงจะสงสัยล่ะสิว่า มันจะแข็งแรงทนทานขนาดไหน ฉันเองก็ยังกลัวๆ เหมือนกันว่าถ้าเกิดเครื่องบินร่อนลงสนามบินแล้วมันค่อยๆ จมลงทะเลเนี่ยฉันจะทำยังไง ซึ่งก็ปรากฏว่าในช่วงระหว่างทดสอบการใช้งานหลังจากที่สร้างเสร็จได้แค่ปีเดียวจ้ะ คือในปี 1991 สนามบินได้ค่อยๆ ทรุดตัวจมลงไปถึง 8 เมตร ซึ่งถือว่าเกินจากที่คาดไว้เยอะจนถึงกับต้องสอดแผ่นเหล็กหนาเข้าไปที่ฐานเพื่อรองรับสนามบินอีกชั้นหนึ่งจ้ะ ทำให้งบบานปลายไปอีกมากโขเลยล่ะ ค่าใช้จ่ายรวมๆ แล้วประมาณ 15 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐได้ ซึ่งเกินงบไปถึง 40%เลยล่ะ
แต่การเสริมแผ่นเหล็กรอบนี้ถือว่าได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับสนามบินได้ยิ่งยวดทีเดียว เพราะเมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ Kobe ในปี 1995 ซึ่งมีศูนย์กลางห่างจากตัวเกาะญี่ปุ่นเพียงแค่ 20 กม. มีผู้เสียชีวิตถึง 6,433 คน และได้ทำความเสียหายให้กับเมืองโกเบจนถึงกับต้องสร้างเมืองกันใหม่เลยทีเดียว แต่แผ่นดินไหวครั้งนี้กลับไม่กระทบกระเทือนกับสนามบินนี้เลยล่ะ นอกจากนี้ในปี 1998 สนามบินก็ยังต้องเจอกับการทดสอบความแข็งแรงอีกครั้งจากใต้ฝุ่นความเร็ว 200 กม./ชม. แต่ก็ไม่เป็นอะไรอีกเช่นกัน ยอดเยี่ยมไหมล่ะ เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจเลยล่ะว่า สนามบินนานาชาติคันไซนี้ ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมหนึ่งในสิบทางด้านโครงสร้างของ "Civil Engineering Monument of the Millennium" ในปี 2001 ที่จัดโดย the American Society of Civil Engineers ผ่านการทดสอบมาอย่างหนักหน่วงอย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้นก็มั่นใจได้เลยล่ะจ้ะ ว่าจะแข็งแรงทนทานแน่นอน ต่อให้หุ่นล่ำๆ อย่างพวกเราไปลงกระโดดโลดเต้นซักหลายร้อยคนก็คงไม่กระทบกระเทือนสนามบินนี้แน่นอนจ้ะ
ข้อมูลจาก http://www.tourguide.ob.tc/kansai.html

เข้าไปใน อาคารผู้โดยสาร สนามบิน คันไซ

SQ 619 ออกเดินทาง 11 โมง

บรรยากาศ ที่ เคาเตอร์ ของ สิงคโปร์แอร์ไลน์ ที่สนามบินคันไซ

ตอนแรกเข้าใจผิด คิดว่า เป็น Mascot ของสนามบินนี้

เห็นรูปโถชักโครกแล้วนึกถึง talk show เดี่ยว8 เลย 902 :onion2012: :onion2012: ไม่แน่ใจว่าคุณ auto เคยดูยังเพราะถ้าเคยดูคงเข้าใจว่าทำไมหัวเราะ :111:
ขอบคุณเช่นทั้งคุณauto และกัปตันเป้ นะคะ 903

ยังครับ ต้องไปดูซะแล้ว  :25:

เจอ Vietnam Airlines จอดอยู่ลำแรกเลย

ภายใน อาคารผู้โดยสาร ระหว่างรอขึ้นเครื่อง
เมื่อก่อนที่ยังไม่มีสนามบินสุวรรณภูมิ ผมมาที่ สนามบินคันไซ เมื่อสัก 10 ปีที่แล้ว
ทึ่งกับ สถาปัตยกรรม ที่สนามบิน Kansai มาก  แต่ปัจจุบัน เฉยๆ เพราะ สนามบินสุวรรณภูมิ ก็ไม่ได้น้อยหน้า ไปกว่ากัน

พิสูจน์กลิ่นน้องเต่าเป็นยังไงบ้างคะ555+  :111:

คนไทยเรานี่ ซื้อของ เก่งจริงๆ
ขนาด ที่ สนามบินคันไซ ยังมี ป้ายเป็นภาษาไทย ด้วย เย้!!! ดีใจจัง

คิดได้ไงเนี่ย  :111:

ลำนี้ เป็นสายการบิน ANA ของญี่ปุ่นเค้า

ตามมาด้วย Japan Airlines

นี่ไง เจ้า Airbus A330-300 ของ Singapore Airlines เที่ยวบินที่ SQ 619 ลำที่จะพาผมกลับบ้าน 916
กินแต่ ปลาดิบ,ซูชิ,เนื้อย่าง แทบทุกวัน นึกถึง ข้าวเหนียว, ไก่ย่าง, ไส้อั่ว, น้ำพริกหนุ่ม ใจจะขาดแล้ว  914

เอา หน้าตาอันหล่อเหลา ของ Airbus A330-300 หลายๆ มุม มาฝาก

เมื่อถึงเวลาก็ได้เวลา เรียกขึ้นเครื่องแล้ว
เดินผ่านมุมนี้ทีไร ต้อง ขอเก็บภาพเป็นที่ระลึก ซะหน่อย

คราวนี้มาดู ภายใน เครื่องกันบ้าง
เบาะเก้าอี้ ของ สิงคโปร์แอร์ไลน์ สี จะออกไปแนว ผู้ใหญ่ๆ ขรึมๆ
ส่วน การบินไทย ของเรา สีของเบาะ จะออกไป แนว สีลูกกวาดเลย

แต่ชั่วโมงนี้ ที่ สิงคโปร์แอร์ไลน์ ทิ้งขาด การบินไทย ของเรา ก็ตรง สิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิง ด้านหน้า เก้าอี้โดยสาร นี่แหละ

ซึ่งการเดินทาง ที่ใช้เวลานานๆ สิ่งเหล่านี้ ช่วย คลายเครียด และ ทำให้การเดินทางไม่รู้สึกเบื่อ ได้เยอะ

จุดหมายปลายทาง อยู่ ที่ สิงคโปร์

มาดู เมนู อาหารที่จะเสริฟ ใน ไฟล์ท นี้กันดีกว่าครับ
มีให้เลือก ทั้งแบบ International และแบบ Japanese

ชุดนี้เป็น แบบ Japanese selection ซึ่ง รสชาติน่าจะถูกปาก มากกว่า

แต่ที่ชอบมากที่สุด ของหวาน ตบท้าย เป็น ไอศกรีม ฮาเก้นดัส นี่แหละ :onio:

มาสำรวจ ห้องน้ำ ภายใน เครื่องบิน ลำนี้

เผลอแป๊บเดียว ก็ จะถึง สนามบินสิงคโปร์แล้ว

ใช้เวลา บิน จาก โอซาก้า ถึง สิงคโปร์ ประมาณ 3 ชั่วโมง 40 นาที

ถึง สนามบินชางฮี สิงคโปร์  ต้อง ไป ต่อ เครื่องอีกลำกลับ กรุงเทพฯ อีก terminal หนึ่ง

ลำที่จะพากลับ กรุงเทพฯ เป็น แบบ Boeing 777-200 จอดรออยู่แล้ว

ข้างๆ กัน ก็มี Silk Air ไม่รู้ ลำนี้ ใช่ลำที่จะบินตรงไป เชียงใหม่ หรือ เปล่า?
ซึ่ง หากใคร ต้องการ มาเที่ยว สิงคโปร์ โดย บินตรงจาก เชียงใหม่ สู่ สิงคโปร์ เลย ผมว่า ก็สะดวกดีครับ
ลองเข้าไปดู ตารางบิน ของ Silk air ได้ที่

http://www.silkair.com/mbe/en_UK/content/destinations/th_chiangmai_orientate.jsp

อีกลำ ที่ จอดใกล้ๆ กัน เป็นของสายการบิน KingFisher

ลำที่ บิน ไป กรุงเทพฯ นี้ สภาพภายในเครื่อง ค่อนข้างเก่า กว่า ลำที่มาจาก โอซาก้า (ไหง...เป็น งั้น ไป หละ)  914
ทั้ง เบาะ และ จอทีวี ด้านหน้า

ใช้เวลาไม่นาน ก็ กลับ ถึง เมืองไทย โดย สวัสดิภาพ
ก็ ขอจบ รีวิว ทริป นี้ แต่เพียงเท่านี้นะครับ
ไว้เจอกันใหม่ ใน ทริป ต่อไปครับ  903

สนใจ โปรแกรม ทัวร์ต่างประเทศ ลอง เข้าไป แวะ เยี่ยมชมได้ที่

www.teawasia.com

สักวัน หนูจะต้องไปแน่นอนค่ะ :46: :46:

สนใจ โปรแกรมท่องเที่ยว ประเทศ ญี่ปุ่น
แวะเยี่ยมชม โปรแกรม ได้ที่

www.teawasia.com

เคยไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นกับพาราไดซ์เวิล์ทัวร์มา พี่หัวหน้าทัวร์ก้เปนกันเองมาก ตอนไปขนาดเปนวันที่ปล่อยอิสระพี่หัวหน้าทัวร์ยังมาดูแลเลย ก้เลยอยากจะแชร์กัน
 paradiseworldtour.com

สวยจังอยากไ เห้อเวลาไม่มีสักนิด :17:

เฮ้ยยย โย้ววววววววๆๆๆ  :1001: :1001: :1001:

 :11: เห็นแค่บรรยากาศในรูปก็รักญี่ปุ่นแล้วล่ะครับ  :15:

ญี่ปุ่น สงสัยคนไทย เยอะมาก ช่วงนี้  911