จองที่พักราคาถูกทั่วประเทศโทร 053266550-2

เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน Update Dec 2016 (Page 1)

สถานที่ตั้ง : อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ถนนทางหลวงหมายเลข 1009 อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
โทรศัพท์ : 053 286 729
พิกัด : 18.579830, 98.483248

    หลังจากเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เดินเที่ยวชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีระบบนิเวศน์ที่น่าตื่นตาที่สุดในประเทศไทยนาม “กิ่วแม่ปาน” เพียงหนึ่งเดือนเศษผ่านไป เส้นทางศึกษาธรรมชาติแห่งนี้ได้สร้างสถิติใหม่ว่าด้วยเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากที่สุดต่อเดือนและต่อวันไปเรียบร้อยแล้ว ความล้นหลามนี้เกิดขึ้นจากสื่อในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คที่ถือเป็นตัวแปรสำคัญ บวกกับการนำเสนอผ่านรายการข่าวและรายการท่องเที่ยวทางช่องโทรทัศน์ยิ่งเป็นการปั่นกระแสให้หึกเหิมมากขึ้นไปอีก

    เอาเป็นว่าสำหรับนักท่องเที่ยวคนใดที่ยังไม่ได้ไปเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน หรือเคยไปเดินมาแล้วก็สมควรอย่างยิ่งที่จะไปซ้ำอีก อันเนื่องมาจากเหตุผลทางธรรมชาติที่มอบความสวยงามให้ในแต่ละครั้งของการมาเยือนไม่เคยซ้ำกัน ยิ่งไปกว่านั้นในเดือนธันวาคมของทุกปีเป็นทีของดอกไม้ป่าสีแดงสดที่มีชื่อว่า “กุหลาบพันปี” ราชินีแห่งกิ่วแม่ปาน จะบานให้เหล่าผู้มาเยือนได้เชยชมกันในครานี้เอง

    เวลาที่เหมาะสมและลงตัวที่สุดของการมาเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานคือในช่วงเช้าตรู่ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ถือโอกาสมาชมพระอาทิตย์ขึ้นบริเวณด้านหน้าทางเข้าเส้นทางฯ กิ่วแม่ปาน หรือจุดชมวิวดอยหัวเสือ อยู่ก่อนถึงยอดดอยอินทนนท์เป็นระยะทาง 5 กิโลเมตร บริเวณนี้จะมีมวลมหาประชาชนคนท่องเที่ยวมารอชมแสงแรกแห่งวันกันเป็นจำนวนมาก เมื่อเก็บภาพแสงเรืองรองที่ส่องสว่างวันใหม่กันเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวให้พร้อมด้วยการหาอะไรทานลงท้อง เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย และเตรียมน้ำดื่มไปด้วย

    เมื่อเตรียมตัวพร้อมดีแล้ว เดินต่อคิวเพื่อลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ในการเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน โดยจะมีค่าใช้จ่ายให้กับมัคคุเทศก์ท้องถิ่นเพื่อเดินนำทางเป็นเงิน 200 บาทต่อกลุ่ม โดยให้กลุ่มละไม่เกิน 10 คน หากไปน้อยคนสามารถเหมา หรือเลือกร่วมเดินไปกับกลุ่มอื่นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจในแต่ละกลุ่มด้วย เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะมีการเรียกชื่อและแนะนำมัคคุเทศก์ให้สำหรับกลุ่มของเรา

    มัคคุเทศก์จะทำการแนะนำตัว พร้อมทั้งให้ดูเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน ซึ่งจะเป็นเส้นทางรอบวงกลม มีระยะทางเดิน 3 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความแข็งแรง ความสนใจ และเวลาในการถ่ายรูปในแต่ละจุด โดยจะมีป้ายสื่อความหมายทั้งหมด 21 จุดด้วยกัน

เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน Update Dec. 2016 (Page 2)

    ในช่วงแรกที่เริ่มเดินจะเป็นป่าทึบ เส้นทางชันเล็กน้อยมีการทำทางเดินเป็นขั้นบันไดเป็นบางช่วงเพื่อความสะดวกและกันลื่น ผ่านจุดสื่อความหมายที่ 1 ชื่อว่า “เฟินยุคโบราณ” บนป่าอินทนนท์แห่งนี้ นี้ถือเป็นเฟินที่มี “ใบ” บางที่สุดในโลก เป็นพืชยุคโบราณที่มีมาตั้งแต่ 230 ล้านปีก่อน ติดๆ กันเป็นจุดสื่อความหมายที่ 2 ชื่อว่า “ป่าเมฆ” ด้วยความสูงของดอยอินทนนท์รวมถึงระบบนิเวศน์ที่อุดมสมบูรณ์ทำให้บริเวณนี้มีความชื้นสูง ก่อเกิดเป็นเมฆหมอกปกคลุมเกือบตลอดทั้งปี

    จุดสื่อความหมายที่ 3 ที่ชื่อว่า “ป่าต้นน้ำ” เป็นจุดที่โดดเด่นและน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากจุดนี้เป็นจุดเดียวของเส้นทางสายนี้ที่จะมีน้ำตกให้ชมกัน แม้จะเป็นน้ำตกชั้นเดียวเล็กๆ แต่ก็สร้างความสดชื่นให้ได้อย่างมากมาย ถัดจากน้ำตกไปจะเป็นจุดสื่อความหมายที่ 4 ชื่อว่า “พรรณพืชไม้ป่าเมฆ” บริเวณนี้มีพืชเฉพาะถิ่น เช่น ต้นก่อ ต้นทะโล้ และต้นหว้าอ่างกา พืชเหล่านี้เป็นพืชป่าเมืองหนาวที่พบได้ในแถบเทือกเขาหิมาลัย

    จุดสื่อความหมายที่ 5 มีชื่อว่า “ป่าซ่อมป่า” เป็นวงจรชีวิตของป่า ที่มีเกิดแก่เจ็บตายเช่นเดียวกันกับมนุษย์ เมื่อมีต้นไม้ล้ม ก็มีต้นใหม่เกิดขึ้นทดแทน หมุนเวียนกันแบบนี้ตลอดไป เดินต่อไปจุดถึงจุดสื่อความหมายที่ 6 ชื่อว่า “เถาวัลย์” เป็นพืชชอบแดดจัดโตเร็ว เลื่อยพันต้นไม้ใหญ่เพื่อมุ่งหาแสงแดด กลายเป็นบันไดให้กับสัตว์เล็กเช่นกระรอกได้อย่างดี

    ตั้งแต่จุดสื่อความหมายที่ 7 ที่ชื่อว่า “ทุ่งหญ้าเมืองหนาว” เป็นต้นไม้ ตอนนี้นักท่องเที่ยวจะออกจากป่าทึบสู่ทุ่งหญ้าโล่งกว้าง เสมือนโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากจุดที่ 1-6 อย่างสิ้นเชิง พื้นที่โล่งนี้ถูกเรียกว่าทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ พบได้เพียง 3 แห่งในประเทศไทยคือ ดอยผ้าห่มปก ดอยหลวงเชียงดาว และดอยอินทนนท์แห่งนี้ บริเวณนี้บางวันมีหมอกหนาทึบ บางวันฟ้าเปิดโล่งมองเห็นทะเลหมอกสวยงาม และบางวันฟ้าเปิดและไร้หมอก แต่ทำให้มองเห็นพื้นที่อำเภอแม่แจ่มเบื้องล่างได้อย่างสวยงาม

    จุดสื่อความหมายที่ 8 ชื่อว่า “กูดเกี๊ยะ เฟินทนไฟ” อันหมายถึง “ต้นสาบหมา” เป็นพืชที่สามารถทนไฟได้ ส่วนเฟินกูดเกี๊ยะจะมีลำต้นอยู่ใต้ดิน เพื่อหลบเลี่ยงจากการเกิดไฟป่า จุดที่ 9 ชื่อว่า “กวางผาปลอดภัยในบ้านผาหิน” กวางผาชอบอาศัยบริเวณไหล่เขา และพลางตัวอยู่ตามผาหินทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดปลอดภัย

เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน Update Dec 2016 (Page 3)

    จุดที่ 10 ถือเป็นไฮไลท์ของเส้นทางฯ กิ่วแม่ปานแห่งนี้ นั้นก็คือ “จุดชมทิวทัศน์” บริเวณนี้จะมีนักท่องเที่ยวรวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก ใช้เวลาในการแวะเก็บภาพนานที่สุด ทิวทัศน์ที่เห็นมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งหมอกขาวพัดโบก ทะเลหมอกกว้างใหญ่ และเทือกเขาสลับพื้บราบของอำเภอแม่แจ่ม

    จุดที่ 11 ก็ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์คือ “ผาแง่มน้อย” แท่งหินแกรนิตที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บริเวณไหล่เขา กลายเป็นสัญลักษณ์ของกิ่วแม่ปาน ต่อเนื่องกันเป็นจุดสื่อความหมายที่ 12 ที่มีชื่อตรงตัวตามเส้นทางแห่งนี้ว่า “กิ่วแม่ปาน” ป่าสองมุมบนสันเขา อันหมายถึงป่าทึบและป่าเปิดโล่ง ระบบนิเวศน์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทว่ายังเกื้อกูลการดำรงอยู่ซึ่งกันและกัน

    จุดสื่อความหมายที่ 13 ถือเป็นไฮไลท์ของเดือนธันวาคมอย่างแท้จริง เพราะนี่คือจุดที่มีชื่อว่า “กุหลาบพันปี” นางเอกของเส้นทางกิ่วแม่ปานที่จะบานให้ชมกันตลอดแนวสันเขา ด้วยสีแดงสดที่มาช่วยแต่งแต้มเติมแต่งให้ผืนป่าอินทนนท์แห่งนี้มีสีสันขึ้นอย่างมากมาย ข้อควรระวังคือ กุหลาบพันปีหลายต้นตั้งอยู่บริเวณไหล่เขา ซึ่งมีนักท่องเที่ยวบางคนต้องการเก็บภาพ หรือยืนถ่ายภาพอย่างใกล้ชิด จนอาจมองข้ามความปลอดภัย รวมถึงไม่ควรเด็ดหรือจับดอกไม้เป็นอันขาด เนื่องจากจะสร้างความเสียหายให้แก่ระบบนิเวศน์ได้ จับร้อยคนพันคน ต้องส่งผลกระทบขึ้นอย่างแน่นอน

    จุดสื่อความหมายที่ 14 ชื่อว่า “ป่าร้อน ป่าหนาว” จุดนี้จะเป็นจุดสุดท้ายที่นักท่องเที่ยวจะได้เดินไต่บนไหล่เขา ก่อนที่จะเดินไปมองเห็นอีกมุมมองหนึ่งของพระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล และพระมหาธาตุเจดีย์นพพลภูมิสิริ และตั้งแต่จุดสื่อความหมายที่ 15 เป็นต้นไป นักท่องจะเดินกลับคืนสู่ป่าทึบอีกครั้ง จุดที่ 15 มีชื่อว่า “สายน้ำยอดเขาสูงสุดของไทย” บริเวณนี้จะได้เห็นตาน้ำ อันถือเป็นต้นกำเนิดน้ำที่สูงที่สุดในประเทศไทย

    จุดสื่อความหมายที่ 16 ชื่อว่า “มอสชอบน้ำแต่ทนแล้ง” มอสถือเป็นพืชชนิดแรกที่มีวิวัฒนาการจากใต้น้ำขึ้นสู่บนบก และมีการดำรงชีวิตที่เรียบง่าย จากนั้นก่อนจะถึงจุดสื่อความหมายที่ 17 ที่ชื่อว่า “ป่าสองรุ่น” จะผ่านรากไม้ที่มีลักษณะเหมือน “หนอนชาเขียว” มัคคุเทศก์จะชี้ให้ดูเอง บางคนก็มองน่ารัก บางคนก็บอกน่ากลัว

    จากนั้นจะเดินผ่าน 4 จุดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกิดอาการอ่อนล้าและเหนื่อยมาก เริ่มตั้งแต่จุดที่ 18 “สูงใหญ่แต่ล้มง่าย” จุดที่ 19 “กูดต้น เฟินสัญลักษณ์ป่าบริสุทธ์” จุดที่ 20 “เสียงป่า” และจุดที่ 21 ที่มีชื่อสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “สรุป” เป็นอันว่าได้เดินจบจนครบรอบ เกือบๆ 3 ชั่วโมง ทุกคนเหนื่อยไปตามๆกัน แต่ก็มันส์สมราคาที่ถูกกล่าวขานให้เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดนิยมแห่งยุคจริงๆ

by Traveller Freedom

(http://www.tripchiangmai.com/chiangmaiboard/index.php?action=dlattach;topic=673.0;attach=48647;image)

สวยมากเลยครับ 901 901 901

สุดยอดเลยครับ

สวยมาก

 :onio: