หัวข้อ: รอบเรื่องสถาปัตยกรรมศาสนสถานแบบล้านนา เริ่มหัวข้อโดย: Dockaturk ที่ กรกฎาคม 08, 2016, 08:31:19 PM ในวันหยุดที่จะไปเดินเตร็ดเตร่แถวคุ้มบุรีรัตน์ ตรงกลางเวียงเพื่อดูนั้นนี้ไปเรื่อย อย่างตัวอาคารที่มองดูทีไร ก็มีเสน่ห์ไม่มีเบื่อ นอกเหนือจากนี้ ก็อาจจะฟลุ๊คเจอนิทรรศการที่หมุนเวียนเอามาจัดกันแสดงให้ชม
โดยทั่วไปแล้วนั้น นิทรรศการที่จะเอามาหมุนเวียนจัดกันที่นี้ จะเป็นนิทรรศการในเชิงสถาปัตยกรรมกันครับ นั่นหมายความว่า ใครเรียนทางด้านนี้ หรือสนใจทางด้านนี้เป็นการเฉพาะเดิมอยู่แล้ว มาเดินๆ มาดอมๆ มองๆ กัน ถือเป็นการผ่อนคลายได้ ส่วนนิทรรศการอันเดิมที่ไม่ได้หมุนเวียน ซึ่งหมายถึง อยู่กับที่นั้นแหละ ฮ่าๆๆ จะมีอยู่สองส่วนด้วยกัน คือเรื่องราวของคุ้มเจ้าบุรีรัตน์ และอีกส่วนคือ นิทรรศการความรู้ด้านสถาปัตยกรรมของศาสนสถานของล้านนาโดยเฉพาะ เรื่องนี้ถือว่ามีความน่าสนใจในตัว เพราะนี้คือการอธิบายถึงลักษณะโครงสร้างหลักต่างๆ ของวิหาร โบสถ์ เจดีย์ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเมื่อดูเสร็จแล้ว ออกไปชมของจริงตามวัดต่างๆ ก็จะเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ถ้าใครยังไม่มีเวลาไป ภายในนั้นก็จะมีภาพแสดงประกอบบนบอร์ด รวมทั้งโมเดลจำลองของศาสนสถานดังกล่าว กระนั้น เพื่อความชัดเจนและแจ่มแจ้ง แต่เดิมทีจะถ่ายโมเดลย่อส่วนมาให้ดูประกอบ เลยเปลี่ยนใจเอาภาพของจริงมาประกอบบทความล่ะกัน เพราะมันเห็นได้ชัดเจนกว่า อีกทั้งไอ้เราก็เคยไปวัดต่างๆ เหล่านั้นมาแล้ว การเอาภาพมาใช้ประกอบ มันก็คงจะเข้าทางดีกว่าให้คนอ่านได้ดูแต่โมเดลย่อส่วนเฉยๆ กล่าวกันถึงศาสนสถานสำคัญในล้านนา ที่จะว่ากัน มี 3 ส่วนด้วยกันหลักๆ ที่จะพูดถึง ซึ่งก็คือ วิหาร โบสถ์ และเจดีย์ ก่อนจะปิดท้ายด้วย เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเสริมเป็นการเพิ่มเติม เพื่อความสมบูรณ์กัน ขอเริ่มกันด้วยลักษณะทางสถาปัตยกรรมของเจดีย์ ในส่วนของเจดีย์ทางล้านนานั้น สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บพระอัฎฐิธาตุของพระพุทธเจ้า สาวก หรือพระอรหันต์ มักสร้างเป็นประธานของวัดควบคู่กับพระวิหาร วางอยู่ในแนวแกนเดียวกับพระวิหาร ชาวล้านนาในอดีตเชื่อว่านอกจากเจดีย์จะเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าและเป็น ศูนย์ของจักรวาลแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์แทนวิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอีกด้วย โดยอุปมาว่าส่วนฐานของเจดีย์เปรียบเสมือน ภาวะแห่งกิเลสตัณหาของมนุษย์ เรียกว่ากามภูมิ คือภูมิที่จิตใจมนุษย์นั้นยังหยาบกระด้าง ยังคงมีการเวียนว่ายตายเกิด ส่วนองค์ระฆังเรียกว่า รูปภูมิ หมายถึงจิตมนุษย์ ที่บริสุทธิ์ และส่วนยอดคือ อรูปภูมิ ภูมิ หรือจิตที่ละเอียดอ่อน ซึ่งไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอันหมายถึง พระนิพพาน ตามคติความเชื่อทางพุทธศาสนานั่นเอง โดยมีความเชื่อเรื่องพระธาตุประจำปีเกิด(พระเจดีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของนักษัตร มี 12 องค์ ผนวกไว้ด้วยในแนวคิดเดียวกัน หัวข้อ: Re: รอบเรื่องสถาปัตยกรรมศาสนสถานแบบล้านนา เริ่มหัวข้อโดย: Dockaturk ที่ กรกฎาคม 08, 2016, 08:31:37 PM ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของเจดีย์ล้านนา ถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบ ใหญ่ๆ คือ เจดีย์ทรงปราสาท หมายถึงเจดีย์รูปทรงสี่เหลี่ยม ซ้อนชั้น คล้ายรูปทรงปราสาทหรือที่อยู่ของกษัตริย์ เจดีย์รูปทรงนี้เชื่อว่าพัฒนาการมาจากเจดีย์ทรงศิขรของอินเดีย ในช่วงต้นของวัฒนธรรมล้านนา นิยมสร้างเจดีย์ทรงปราสาทที่มีการซ้อนชั้นมีซุ้มประดิษฐานโดยรอบทุกชั้น ตัวอย่างเช่นเจดีย์เหลี่ยมที่วัดจามเทวี และเจดีย์เหลี่ยมที่วัดพระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน เป็นต้น ต่อมาจึงพัฒนาการเป็นเจดีย์ทรงปราสาทที่มีเรือนธาตุและมีซุ้มประดิษฐานพระ พุทธรูปภายในชั้นเดียว และมีส่วนยอดทำเป็นเจดีย์องค์ระฆังขนาดเล็กซ้อนชั้นขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของเจดีย์ทรงปราสาทล้านนา
ลักษณะของเจดีย์ทรงปราสาท ประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนฐาน ส่วนเรือนฐาน และส่วนยอด สำหรับส่วนฐานนั้นทำเป็นฐานรูปสี่เหลี่ยมเช่นเดียวกับกับเจดีย์ทรงกลม เรียกว่าฐานเขียง และมักทำซ้อนชั้น 2-3 ชั้น เหนือขึ้นไปเป็นส่วนเรือนธาตุรูปทรงสี่เหลี่ยม มีช่องเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปทั้งสี่ด้าน เหนือขึ้นไปเป็นส่วนยอดซึ่งมักจำลองเอาส่วนยอดของเจดีย์ทรงกลมมาใช้ในลักษณะ เดียวกัน ชาวล้านนามักเรียกว่า ธาตุ หรือ กู่ เหตุที่เรียกเนื่องจากส่วนใหญ่แล้วนิยมใช้บรรจุอัฐิธาตุทั้งสิ้น และคำว่า กู่ นั้น เข้าใจว่าเป็นคำที่มาจากภาษาพม่า เจดีย์ในศิลปะล้านนาที่สำคัญมีอยู่ด้วยกันสองแบบคือ เจดีย์ทรงระฆัง และ เจดีย์ทรงปราสาท แต่ยังมี เจดีย์แบบอื่น ที่แตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน ส่วน เจดีย์ทรงระฆัง เหตุที่เรียกว่าทรงระฆังนั้นเพราะองค์ประกอบสำคัญของเจดีย์แบบนี้คือ องค์ระฆัง ซึ่งต้นกำเนิดนั้นคงมาจากรูปโดมครึ่งวงกลมของสถูปในประเทศอินเดียที่เรียก ว่า อัณฑะ หรือ ครรภะ ที่มีความหมายถึงศูนย์กลางจักรวาล ลักษณะของอัณฑะรูปครึ่งวงกลมนั้นเมื่อแพร่กระจายไปในดินแดนต่างๆ ก็มีพัฒนาการต่างกันไป เจดีย์ทรงระฆังของล้านนาอาจแยกได้ 3 กลุ่มคือ เจดีย์ทรงระฆังกลุ่มที่ 1 เป็นรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะลังกาที่ผ่านจากศิลปะพม่าแบบพุกามแล้ว พัฒนาไปเป็น รูปแบบของเจดีย์พื้นเมือง เจดีย์ทรงระฆังกลุ่มที่ 2 เป็นรูปแบบที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะลังกาที่ผ่านจากศิลปะสุโขทัยเข้าสู่ล้านนาแล้วพัฒนา ต่อเนื่องสืบมา และเจดีย์ทรงระฆังกลุ่มที่ 3 เป็นรูปแบบที่รับอิทธิพลจากศิลปะพม่ารุ่นหลังราวพุทธศตวรรษที่ 24 ลงมา เป็นกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลจากเจดีย์ในศิลปพม่ารุ่นหลังราวปลายพุทธศตวรรษที่ 23 ลงมา จากเจดีย์มาที่ ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของโบสถ์และวิหาร โบสถ์ คือ อาคารที่พระสงฆ์ใช้ประชุมสังฆกรรมร่วมกัน ซึ่งการทำสังฆกรรมที่สำคัญที่สุดได้แก่การทำสังฆกรรม บวช ในวัฒนธรรมล้านนา แบบอย่างของวิหารรและโบสถ์มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่โบสถ์จะมีใบสีมา เป็นเครื่องหมายเขตบริสุทธิ์ล้อมรอบ อาคารที่เป็นตัวโบสถ์อีกชั้นหนึ่ง โดยจะกำหนดบริเวณทิศทั้ง 8 และฝังไว้ตรงกลาง รวมทั้งหมด 9 แห่ง การสร้างวิหารจะนิยมมากกว่าโบสถ์ อาจจะ เนื่องมาจากการมีประโยชน์ใช้สอยที่มากกว่า เพราะคติแต่เดิมโบสถ์ใช้ในการประชุมสังฆกรรมเพื่อการอุปสมบทพระสงฆ์ตามที่ บัญญัติไว้ในพระวินัยเป็น สำคัญ นอกจากนี้ก็จะมีการรับกฐิน การสวดปาติโมกข์ประจำทุก ๆ 15 ค่ำ ส่วนพิธีอื่น ๆ ที่เป็นประเพณีประจำปีมักจะกระทำในวิหาร อีกทั้งยังใช้เป็นที่อ ยู่อาศัยของสงฆ์ เป็นศาลาการเปรียญเป็นสถานที่ประชุมพุทธบริษัทต่างๆ รวมถึงคติการบวชดังที่เราจะพบอยู่บ่อยครั้งในตำนานทางภาคเหนือ จะนิยมบวชโดยใช้สมมุติสีมาน้ำที่เรียกว่า นทีสีมา หรือ อุทกสีมา ตามประเพณีที่ได้รับมาจากลังกา หัวข้อ: Re: รอบเรื่องสถาปัตยกรรมศาสนสถานแบบล้านนา เริ่มหัวข้อโดย: Dockaturk ที่ กรกฎาคม 08, 2016, 08:32:00 PM ส่วนลักษณะงานสถาปัตยกรรมประเภท วิหาร คำว่า วิหาร ในครั้งพุทธกาลหมายถึงที่อยู่ของสงฆ์ มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่ากุฏิ ภายหลังเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปริพนิพานและมีการสร้างพระพุทธรูปเป็นตัวแทน พระพุทธองค์ ในอดีตวิหารล้านนามีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญดังนี้คือ เป็น ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งเป็นประธานของวัด หรือพุทธรูปสำคัญอื่นๆ อันเปรียบเสมือนตัวแทนของพระพุทธเจ้า ซึ่งประทับเป็นประธานในการประชุมกิจของสงฆ์ หรือพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ เป็น สถานที่ประชุมเพื่อกิจของสงฆ์
สำหรับรูปแบบวิหารในวัฒนธรรมล้านนา เราพบหลักฐานว่ามีการสร้างใน 2 ลักษณะ ได้แก่ วิหารโถง และวิหารปิด ซึ่งแม้ว่าวิหารทั้งสองประเภทจะมีความแตกต่างกันบ้างทางด้านรูปแบบ แต่ลักษณะการจัดแผนผังของอาคาร รูปทรงและโครงสร้างของวิหารทั้งสองประเภทมีความคล้ายคลึงกันจนอาจกล่าวได้ ว่าเป็นเอกลักษณ์ของวิหารล้านนา กล่าวคือ จะออกแบบแผนผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีการยกเก็จของผัง ภายในวิหารแบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ พื้นที่ ของพระสงฆ์ ได้แก่ อาสนสงฆ์ และบุษบกธรรมมาสน์ สำหรับอาสนสงฆ์ เป็นที่นั่งพระภิกษุสามเณร มักทำเป็นแท่นยกพื้นอยู่ทางด้านขวามือของพระประธาน ส่วนบุษบกธรรมมาสน์หมายถึงแท่นสำหรับใช้เทศนาของพระภิกษุสงฆ์ในวันสำคัญทางศาสนา พื้นที่ของฆาวาส ได้แก่ห้องโถงส่วนกลางของอาคาร เป็นพื้นที่นั่งของชาวบ้านเพื่อฟังเทศน์ในวันพระ ชาวบ้านจะนั่งกับพื้นซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ที่ต่ำกว่า พระสงฆ์ และพระประธาน โดยมักจะให้ผู้ชาย ซึ่งเป็นผู้อาวุโส นั่งด้านหน้าสุดใกล้พระประธาน ส่วน คนผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก จะนั่งถัดออกไป ด้านหลัง ฐานชุกชี หรือแท่นแก้ว หมายถึงพื้นที่ด้านในสุดของวิหาร มักทำเป็นแท่นยกพื้นสูงกว่าอาสนสงฆ์ ใช้สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งเป็นประธานของวัด พื้นที่บริเวณนี้ วิหารบางหลังอาจทำเป็นอุโมงค์โขงและเจดีย์ทรงปราสาทต่อท้ายจรนัมอยู่ด้าน หลัง ซึ่งภายในอุโมงค์โขงดังกล่าวเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธาน ของวิหารเช่นเดียวกัน นักวิชาการบางท่านเรียกวิหารประเภทนี้ว่า วิหารทรงปราสาท เนื่องจากหากมองจากภายนอก จะคล้ายกับมีเจดีย์ทรงปราสาทเชื่อมต่อท้ายตัวอาคาร ตัวอย่างเช่น วิหารวัดปราสาท จ.เชียงใหม่ และวิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ เป็นต้น ส่วนองค์ประกอบของโครงสร้างวิหารล้านนา นิยมสร้างด้วยเครื่องไม้ใช้ระบบเสาและคานในการรับน้ำหนัก โครงสร้างที่ถ่ายทอดน้ำหนักนี้เรียกว่า ระบบขื่อม้าต่างไหม ซึ่งปรากฏชื่อนี้ในเอกสารตั้งแต่รัชกาลพญามังรายคราวสร้างวิหารวัดกานโถม เวียงกุมกาม การเรียกชื่อขื่อม้าต่างไหมได้ชื่อมาจากลักษณะการบรรทุกของบนหลังม้าไปขายบน เส้นทางของพ่อค้าม้าต่างในล้านนา เครื่องไม้ที่ใช้ในระบบขื่อม้าต่างไหมนี้มี แปอ้าย แปยี่ เสาสะโก๋น กล๋อนลาด กั้นฝ้า ขื่อหลวง ขื่อยี่ เป็นต้น ผนังอาคาร วัสดุที่ใช้สร้างมีทั้งก่ออิฐถือปูนหรือเป็นฝาผนังไม้ ผนังวิหารมักเจาะช่องหน้าต่างซึ่งมีทั้งแบบบานเปิดธรรมดา แบบฝาไหล หรือแบบซี่ลูกมะหวด แต่ถ้าเป็นช่องรูปกากบาดด้านท้ายวิหารจะเรียกว่า ช่องตีนกา หรือ ปล่องจงกล และเครื่องประดับของวิหารล้านนา มีทั้งส่วนที่ใช้ประดับเชิงคติทางศาสนา ส่วนที่ประดับเพื่อความงาม และบางส่วนก็ผูกพันอยู่กับโครงสร้าง ทั้งนี้ ทั้งนั้น ถ้าอยากได้ความสาระความรู้แน่นขึ้น แนะนำให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม แล้วแวะไปชมศาสนสถานของจริงกันถึงที่เลยครับ รับรองได้รับสาระและความเพลิดเพลินแน่ |